เตรียมตัวอย่างไร เมื่อหมดเวลา ทำงานที่บ้าน

work from office

ด้วยสถานการณ์ความรุนแรงของโรคโควิดเริ่มน้อยลง รวมถึงประชาชนจำนวนมากได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ส่งผลให้หลายองค์กรต่างกลับมาทำงานได้ตามปกติและเตรียมยกเลิกการทำงานที่บ้าน ซึ่งพนักงานบางคนเองก็ยังกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคอยู่ โดยเฉพาะพนักงานที่ต้องอาศัยรถสาธารณะในการเดินทาง ดังนั้นองค์กรและพนักงานจะต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศตามปกติและไม่ต้องทำงานที่บ้านอีกต่อไป

มาตรการความสะอาด

ในส่วนของออฟฟิศที่ทำงานควรมีมาตรการในการทำความสะอาดที่เข้มงวด เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพนักงานที่เดินทางมาทำงานนั้นสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยหรือผู้ที่ได้รับเชื้อมาบ้างหรือไม่ จึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการในการรักษาความสะอาด คัดกรองพนักงานที่เข้ามาทำงานอย่างเข้มงวด ในขณะที่พนักงานเองก็ต้องระมัดระวังเรื่องการสัมผัสและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มีคนจำนวนมากด้วย เพื่อป้องกันตนเองและป้องกันการนำเชื้อไปแพร่ให้พนักงานคนอื่น ๆ ในออฟฟิศ

หมั่นตรวจสอบสุขภาพและคัดกรองพนักงานบ่อย ๆ

นอกจากมาตรการการทำความสะอาดที่ทำงานแล้ว การตรวจสอบสุขภาพและคัดกรองพนักงานบ่อย ๆ ก็มีส่วนสำคัญด้วย เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าทำงาน การตรวจ ATK พนักงานสัปดาห์ละครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ครั้งเป็นอย่างน้อย พร้อมกับให้พนักงานทำงานที่บ้าน หากพบว่าตนเองเริ่มมีอาการไข้และไม่สบาย

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร

องค์กรจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กับพนักงานทราบถึงสถานการณ์ที่ต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับองค์กร รวมถึงความสัมพันธ์ของพนักงานด้วยกันเอง เพราะการที่แต่คนละต่างคนต่างทำงาน ไม่มีการพบปะสังสรรค์กัน อาจทำให้มีความสัมพันธ์ต่อกันที่ลดน้อยลงไป ดังนั้นเมื่อกลับมาทำงานควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์และเน็ตเวิร์กให้ดี

การที่ทุกคนมาทำงานออฟฟิศและต้องรักษาระยะห่างต่อกันอยู่นั้น ระบบคอมพิวเตอร์และเน็ตเวิร์กควรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ซอฟท์แวร์สำหรับการประชุมออนไลน์หรือระหว่างโต๊ะทำงาน การใช้ระบบเซนเซอร์แทนการใช้มือสัมผัสประตู เป็นต้น

ปรับตัวให้เหมาะสมกับเวลาทำงาน

เมื่อต้องทำงานอยู่บ้าน อาจจะไม่มีกรอบตายตัวในเรื่องของเวลามากนัก เพราะไม่ต้องเดินทางไปออฟฟิศ จะเลิกงานตอนไหนหรือเข้างานเมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่ให้งานสำเร็จลุล่วง แต่เมื่อต้องกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศควรปรับตัวให้เหมาะสมกับเวลางานและต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพื่อที่จะมาทำงานให้ตรงเวลา

ทั้งหมดเป็นมาตรการบางส่วนที่องค์กรและพนักงานจะต้องปฏิบัติตามเพื่อลดการติดเชื้อ หากต้องการปรับเปลี่ยนการทำงานที่บ้านมาเป็นทำงานที่ออฟฟิศ ในส่วนขององค์กรเองก็ควรสอบถามถึงความต้องการอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือเป็นข้อเสนอแนะระหว่างพนักงานและองค์กรเพื่อหาข้อปฏิบัติที่เห็นพ้องต้องกัน

4 แนวคิดของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จ

4 แนวคิดของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จ

คนที่ประสบความสําเร็จในการทำงานมักจะมีวิธีคิดที่ดึงศักยภาพการทำงานออกมาให้มากที่สุด สิ่งสำคัญคือเมื่อเราควบคุมความคิดของเราไปโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอย่างมีประสิทธิภาพ งานก็จะออกมาดี มาดูกันว่าแนวคิดของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร

1.โฟกัสกับงานทีละอย่าง

มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด คนเราจะมีสมาธิได้จะต้องมีสุขภาพที่ดีและนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ท่องเอาไว้ทุกวันเรื่องการโฟกัสงานทีละอย่าง กำหนดเป้าหมายชัดเจน วางแผนการทำงานทีละขั้นตอนและทุ่มเทความพยายามทำสิ่งเดียวให้สำเร็จ คนที่ทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันอาจกำหนดระยะเวลาแล้วลงมือทำให้เสร็จตามเป้าหมายได้ แต่ผลงานจะไม่ดีเท่ากับการโฟกัสกับงานทีละอย่าง ซึ่งสามารถทำให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้

2.หนักเอาเบาสู้ ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จ

ทุกครั้งที่ทำงานอย่าเลือกงานว่าง่ายหรือยาก แต่ให้มองไปที่ผลงานว่าคุ้มค่าหรือไม่ รู้มูลค่าของสิ่งที่ทำและความสำเร็จจะให้อะไรกับเราบ้าง ไม่มีงานไหนที่ทำแล้วไม่เหนื่อย ต้องปรับทัศนคติให้มองในแง่บวกเข้าไว้จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นงานยากแบบไหนหากเราเชื่อมั่นว่าทำได้และตั้งใจทำอย่างเต็มที่ จะสามารถแก้ปัญหาอุปสรรคเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในที่สุด หมั่นหาความรู้พัฒนาตัวเองแก้ไขจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็งทำให้ดีที่สุด ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้ม เมื่องานยากสำเร็จลุล่วงแล้วยังมีผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย

3.บริหารเวลาให้เป็น

หลักการทำงานของคนที่ประสบความสำเร็จคือต้องตั้งเป้าหมายทุกวันและทำงานให้เสร็จจนเป็นนิสัย ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน คนที่บริหารจัดการเวลาได้ดีเท่านั้นจะมีโอกาสก้าวหน้ารวดเร็วกว่าคนอื่น การใช้เวลาให้คุ้มค่าจะต้องทำงานเสร็จเร็วทันเวลาและมีช่วงเวลาพักผ่อนคลายเครียดด้วย ช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น

4.รักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิต

ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากจะทำอะไรในชีวิต บางครั้งการทำงานต้องเสียสละทั้งเวลาและความสัมพันธ์ในครอบครัวไปบ้าง แต่ยังต้องรักษาความสมดุลเอาไว้ให้ดี ความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ใช่การเสียสละตัวเองเพื่อทำงานอย่างเดียว อย่าละเลยสุขภาพหมกมุ่นทำงานอย่างเดียวจนชีวิตไม่มีความสุข ทำให้เกิดการสูญเสีย สุดท้ายอาจพบว่าความสำเร็จนั้นเปล่าประโยชน์และไร้ค่าเมื่อต้องแลกกับความสูญเสียทั้งสุขภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และความสุขในชีวิต

การทำงานให้ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่ท้าทาย ถ้าเราคิดว่างานยากเกินไปก็เป็นทุกข์ ถ้าเราเลิกคิดวิตกกังวลก็ไม่เป็นทุกข์ คนธรรมดาที่ไม่โดดเด่นอะไรแต่ถ้ามีความเข้มแข็งของจิตใจจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง สามารถโฟกัสกับงาน มีสมาธิทำงานอย่างเต็มที่ สุดท้ายความสำเร็จก็จะไม่หนีไปไหน

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน 2022

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน 2022

การทำงานในปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลาย เราสามารถทำงานได้จากที่บ้านหรือทำงานในออฟฟิศ รวมถึงร้านกาแฟที่มีบริการให้ใช้พื้นที่ทำงาน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ในส่วนของการทำงานที่บ้านหรือ work from home จะมีข้อดีอะไรบ้างนั้นมาดูพร้อมกันเลย

1. มีเวลาอยู่กับครอบครัวในที่คุ้นเคย 

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของการทำงานจากที่บ้าน คือ ได้อยู่ในบ้านของเราเองกับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยพ่อแม่ พี่น้อง ภรรยาและลูก ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนทุกวันไม่ใช่วันทำงาน หันไปทางไหนก็มีแต่คนที่รักและทำให้มีกำลังใจในการทำงานไม่ว่าจะยากแค่ไหน

2. สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน

การทำงานจากที่บ้านนั้น เราสามารถจัดสรรเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้นและไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง สามารถทำงานที่หัวหน้างานมอบหมาย ควบคู่กับการเล่นหุ้นจากหน้าจอมือถือ การรับทำงานฟรีแลนซ์ต่าง ๆ เสริมได้ โดยไม่มีใครว่า อีกทั้งยังสามารถช่วยทำงานบ้านเป็นครั้งคราวได้ เช่น ช่วยทำอาหารบางมื้อ ช่วยดูแลลูก เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เป็นต้น

3. ลดค่าใช้จ่าย

ต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางเป็นสิ่งที่ทำให้เงินในกระเป๋าของเราทุกคนลดลง การขับรถที่เป็นระบบน้ำมันไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซลโดยทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบไฮบริด-รถไฟฟ้า แม้จะใช้เส้นทางสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง ก็ยังมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนแล้วเป็นหลักพันบาท การทำงานจากที่บ้านเท่ากับเราประหยัดเงินส่วนนี้ไว้เพื่อการออมในระยะยาวได้มากขึ้น

4. ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย

เราสามารถดูแลความสะอาดได้อย่างทั่วถึงในบ้านของเราเอง ทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ แต่หากเราเดินทางออกไปนอกบ้าน จะมีโอกาสได้รับเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินหายใจมากขึ้น เช่น ไวรัสโควิด ไข้หวัด วัณโรค ฯลฯ หากสมาชิกในบ้านมีผู้สูงวัยก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงโรคเหล่านี้แก่ท่านเหล่านั้นได้ ดังนั้นเรื่องของสุขภาพกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าม

5. มีเวลาออกกำลังกายมากขึ้น

หลายคนที่มักพูดว่า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำให้ดูอ้วนและแก่กว่าวัย หากทำงานที่บ้านและจัดตารางเวลาให้ลงตัว จะมีเวลาในการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าการกระโดดเชือก การวิดพื้น การเต้นแอโรบิกหรือการซื้อเครื่องออกกำลังกายมาเพื่อใช้เองในครอบครัว ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีด้านสุขภาพแน่นอน

การทำงานที่บ้านกำลังเป็นที่นิยม เราทุกคนต้องปรับตัวกับรูปแบบการสั่งงานที่แตกต่างไป เช่น สั่งงานผ่านระบบข้อความหรือไลน์ ส่งงานเป็นไฟล์ผ่านทางอีเมล การระดมความคิดกับทีมหรือประชุมต่าง ๆ ผ่านทางระบบซูม ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเอกสารและประหยัดเวลาได้อย่างมากด้วย

การทำงานที่บ้านมีข้อดี – ข้อเสียอย่างไรบ้าง

การทำงานที่บ้านมีข้อดี - ข้อเสียอย่างไรบ้าง

หลายคนไม่เคยทำงานที่บ้านมาก่อนรู้สึกกังวลเรื่องแบ่งเวลางานกับชีวิตส่วนตัวจากกันได้ยาก เกรงว่าจะไม่มีสมาธิเหมือนกับการทำงานในออฟฟิศ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการทำงานที่บ้านมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน

1.ความยืดหยุ่นและคล่องตัว
ในยุคโควิด-19 นายจ้างจำนวนมากเปลี่ยนมาใช้นโยบายทำงานจากที่บ้านและจัดตารางการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างน้อยก็มีวันทำงานจากที่บ้านเพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการเดินทางบนท้องถนนช่วงเช้าหรือเย็นทำให้มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น มีเวลาเตรียมงาน ดูแลลูกๆ และได้ใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น

2.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เริ่มทำงานที่บ้านครั้งแรก หลายคนอาจรู้สึกเป็นกังวล แต่ความจริงแล้วอุปสรรคนั้นน้อยมากเพราะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้ง่ายขึ้น มีเครื่องมือการสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานและการประชุมทีมที่มีประสิทธิภาพ การทำงานที่บ้านจึงให้ผลในทางตรงกันข้าม เพราะบ้านมีสภาพแวดล้อมที่เงียบขึ้น ไม่ถูกรบกวนหรือถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ เหมือนเวลาอยู่ในออฟฟิศ มีสมาธิทำงานได้นานขึ้นและเร็วขึ้น

3.เปิดโอกาสให้คิดอะไรใหม่
เมื่อองค์กรให้โอกาสลูกจ้างมีตัวเลือกว่าจะทำงานจากที่บ้านได้ เปิดโอกาสให้มีความกล้าริเริ่มความคิดใหม่ๆ ด้วยความรู้สึกมั่นใจว่าได้รับความไว้วางใจจากนายจ้างเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความขยันแสวงหาความรู้เพิ่มพูนทักษะความสามารถ รู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้การทำงานออกมาดีที่สุด ส่งผลให้องค์กรมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง

4.สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น
การทำงานจากที่บ้านอำนวยความสะดวกสบายหลายด้าน ประหยัดเวลาเดินทาง ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ออกกำลังกาย มีเวลาทำอาหารเพื่อสุขภาพ และนอนหลับพักผ่อนมากขึ้น ความเครียดลดลง มีสุขภาพดีขึ้น

ข้อเสียของการทำงานที่บ้าน

1.รู้สึกโดดเดี่ยว การทำงานที่บ้านไม่เหมาะกับทุกคน
ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีที่ปรึกษา เป็นข้อเสียที่คนทำงานที่บ้านต้องเผชิญหน้ากันทุกคน บางคนชอบทำงานร่วมกับคนอื่น มีเพื่อนร่วมงาน และขอคำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับหัวหน้าเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี สภาพแวดล้อมที่บ้านอาจไม่เหมาะกับการทำงาน ไม่มีพื้นที่ทำงานเป็นส่วนตัว ขาดเครื่องมือสนับสนุนการทำงานที่ดีพอ บางคนมีลูกเล็กๆ หรือเสียงรบกวนทำให้งานหยุดชะงักไม่คืบหน้า

2.ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานได้ยาก
การทำงานจากทางไกลทำให้ประเมินผลการทำงานทำได้ยาก เมื่อไม่มีเจ้านายหรือหัวหน้าคอยติดตามผลงานและตรวจสอบบ่อย ๆ อาจเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ปล่อยให้เวลาล่วงเวลาเลยไปจนแก้ไขความผิดพลาดล่าช้า งานเสร็จไม่ตรงตามเป้าหมาย จำเป็นต้องวางแผนความร่วมมือให้ดีก่อนจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

3.จัดสรรเวลาไม่ดี เกิดภาวะหมดไฟ
การทำงานที่บ้านโดยไม่มีการวางแผนจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม ไม่รู้จักแยกแยะเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัว กลายเป็นเสพติดงานคิดเรื่องงานตลอดเวลา ทำงานนานต่อเนื่องจนเหน็ดเหนื่อยเกิดภาวะเครียด ไม่รู้ว่าเมื่อไรควรเลิกงานส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ ปวดเมื่อยเนื้อตัว สะสมนานวันจนในที่สุดก็เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน

ก่อนเริ่มทำงานที่บ้านควรจัดมุมทำงานเป็นสัดส่วนและจัดตารางการทำงานให้ดีมีวินัยกับตัวเองแล้วจะปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตที่ดีขึ้น ทำงานอย่างสบายใจโดยไม่ต้องมีวันลาพักร้อนเลยก็ได้

จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดี

จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดี

ในยุคนิวนอร์มอลเช่นปัจจุบัน หลายคนต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงาน จากเดิมที่อยู่ประจำในออฟฟิศกลายเป็นการอยู่ติดบ้าน แค่ในห้องแคบ ๆ ซึ่งในระยะแรกอาจรู้สึกถึงความสุขที่ได้มีอิสระเสรีในการใช้เวลาตามใจ แต่ผ่านไปสักระยะอาจตระหนักได้ว่าเราจัดการเวลาตัวเองได้ไม่ดีพอ ทำให้งานก็ไม่เสร็จและยังเสียชีวิตส่วนตัวไปด้วย เรามาดูกันว่า จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดีขึ้น

1.ไม่ทำงานบนที่นอน
การทำงานบนที่นอนจะทำให้คุณเผลอไผลกับการใช้เวลาดูหนังซีรีส์มากกว่าการตั้งใจทำงานจริง ๆ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หักห้ามใจต่ออาการขี้เกียจได้ยาก ก็ควรเลือกพื้นที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง วางโต๊ะเก้าอี้ และสร้างบรรยากาศให้เหมือนเป็นมุมทำงานในออฟฟิศ จะช่วยให้มีสมาธิและตั้งใจทำงานได้ดีขึ้น

2.หาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ
การทำงานที่บ้านเป็นสิ่งที่เหมาะกับคนที่มีแรงขับเคลื่อนในตัวเองสูง แต่คนที่ขาดเป้าหมายในชีวิต มักใช้เวลาเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัวไปเรื่อย ๆ ในระยะสั้น ๆ อาจรู้สึกดี แต่ในระยะยาวแล้วจะเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันได้ จึงต้องหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพื่อสร้างสีสันให้ชีวิตด้วย เช่น กำหนดให้มี 1-2 วันต่อสัปดาห์ที่จะไปซื้อของเข้าบ้านหรือขับรถไปหาซื้ออาหารร้านที่อร่อยกลับมารับประทานในบ้าน ฯลฯ

3.เขียนตารางบอร์ดลำดับความสำคัญ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยแยกแยะประเภทงานเป็น 4 ช่อง คือ งานด่วนและสำคัญ งานด่วนแต่ไม่สำคัญ งานสำคัญแต่ไม่ด่วน และงานที่ทั้งไม่ด่วนและไม่สำคัญ เราแนะนำให้คุณต้องทำต่อไป เพราะไม่ว่าจะทำงานจากที่ใด ในหนึ่งวันคุณยังมีเวลาจำกัดที่ 24 ชั่วโมงเสมอ เมื่อจำกัดตัวเองแล้ว จะได้ไม่เถลไถลไปกับการดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือนิยาย หรือดูซีรีส์มากเกินไป

4.ปิดเครื่องมือสื่อสาร
หากอยู่ในที่ทำงาน การใช้มือถือเพื่อตอบไลน์ เล่นแชท ย่อมถูกเพื่อนร่วมงานเขม่นหรือถูกเจ้านายตำหนิได้ แต่เมื่อทำงานในบ้านคุณจะไม่มีสถานการณ์บังคับเช่นนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เสียเวลาวันละหลายชั่วโมงสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงผ่านไลน์ หรือการใช้สื่อโซเชียลเพื่อช้อปปิ้งออนไลน์นานเกินไป คุณอาจต้องกำหนดเวลาการใช้มือถือว่าจะเปิดดูสื่อโซเชียลเฉพาะตอนช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเท่านั้น หรือกำหนดเวลาที่แน่นอน จะเป็นช่วงใดก็ได้ของวัน เช่น กำหนดว่าดูครั้งละไม่เกินกี่นาที เป็นต้น

การทำงานที่บ้านแตกต่างจากการทำงานในออฟฟิศ นอกจากความสามารถในการทำงานตามปกติแล้ว ยังต้องสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี ไม่ให้เสียสมาธิไปกับสิ่งยั่วยุรอบตัวหรือความสุขสบายที่ต้องการ หวังว่าบทความนี้จะให้ข้อคิดที่ทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานที่บ้านในยุค New Normal ได้ดีขึ้น

ของ 5 อย่างที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

ของ 5 อย่างที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

จนถึงตอนนี้ทุกคนคงคุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านกันเป็นอย่างดีแล้ว และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายก็คาดว่ารูปแบบการทำงานแบบ new normal ก็คงกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของหลายองค์กรไปแล้ว เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์ได้แล้วว่าถึงจะทำงานจากที่บ้านก็ยังคงคุณภาพผลงานได้อยู่ ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอกับของจำเป็นที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้านกันยาวต่อไป ควรเตรียมพร้อมกับสิ่งจำเป็น 5 อย่าง ซึ่งจะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

1.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คืออาวุธที่สำคัญที่สุดของการทำงานไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่บริษัท แต่การทำงานที่บ้านสำคัญกว่าตรงที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คสามารถยกไปทำงานที่มุมไหนของบ้านก็ได้ เพราะการนั่งติดโต๊ะตลอดทั้งวันไม่ใช่เรื่องดี นอกจากกล้ามเนื้อไม่ได้ผ่อนคลาย ยังเป็นการทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดยิ่งกว่าเก่าด้วย

2.โต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่นอกจากช่วยให้การทำงานลื่นไหลแล้ว ยังสามารถช่วยซัพพอร์ตส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เกิดความสมดุลอยู่ได้ อย่างเช่น หากต้องนั่งทำงานบนโต๊ะกินข้าวที่ต้องก้มหน้ามากเกินไปเวลาทำงาน อาจทำให้รู้สึกปวดคอ ปวดหลัง บางคนถึงกับปวดตาได้ ดังนั้นการทำงานที่บ้านจึงจำเป็นต้องมีโต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่อยู่ในระดับมาตรฐานเหมือนกับการนั่งทำงานในออฟฟิศด้วย

3.สัญญาณอินเตอร์เน็ต ต้องพร้อมใช้ตลอดเวลา สังเกตง่าย ๆ ได้เลยว่าพอทำงานที่บ้าน ก็มีแต่ประชุมออนไลน์แทบจะทั้งวัน ไม่ก็สั่งงานกันผ่านไลน์หรือ e-mail ดังนั้นเพื่อให้ทำงานได้ต่อเนื่องและป้องกันการถูกตำหนิจากหัวหน้าว่าเพราะอะไรถึงติดต่อเรื่องงานไม่ได้สักที ที่บ้านจึงต้องมีการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้สามารถรองรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม

4.กระดานหรือบอร์ดโน้ต ให้มีติดไว้ข้างโต๊ะ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีติดโต๊ะทำงานไว้ เพราะวันหนึ่ง ๆ มีงานหลายสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วยในการบันทึกหรือช่วยวางแผนการทำงานแต่ละวันไว้ใกล้มือเพื่อให้เรายังคงส่งมอบงานได้ทันตามกำหนดแม้ว่าจะต้องทำงานจากที่บ้านก็ตาม

5.ต้นไม้ จากผลการวิจัยพบว่าต้นไม้คือตัวกลางในการเชื่อมต่อเรากับโลกภายนอก แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีก 15% ได้ นั่นหมายถึงต้นไม้คือตัวช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงานไม่ให้อุดอู้จนเกินไป ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย และเมื่อร่างกายได้ผ่อนคลายจะทำให้สมองปลอดโปร่งจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ยังไงกันล่ะ

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือตัวช่วยและอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้การทำงานที่บ้านไม่น่าเบื่อและเคร่งเครียดจนเกินไป ไหน ๆ ก็ต้องเตรียมพร้อมกับการใช้ชีวิตแบบ new normal อยู่แล้ว ดังนั้นหากจะเตรียมตัวให้พร้อมกับการทำงานจากที่บ้านซึ่งจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรจึงเป็นเรื่องที่ดีที่ช่วยให้ชีวิตการทำงานมั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลา

ทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลา

ช่วงโควิดแบบนี้ หลายบริษัทออกมาตรการให้ work from home กันยกใหญ่เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรค แต่การทำงานอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ นอกจากจะรู้สึกเหงาแล้ว บรรยากาศก็ยังชวนง่วงอีกต่างหาก วันนี้เราจึงอยากจะมาแชร์ 4 เคล็ดลับทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลาให้กับชาวออฟฟิศในช่วงนี้กัน 

1.อาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่น

WFH ใช่ว่าไม่อาบน้ำทำงานยาว ๆ แล้วจะดีนะ เพราะบางทีการอยู่ในชุดนอนแล้วไม่อาบน้ำก็ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่นเหมือนเพิ่งตื่นนอนใหม่ ๆ ตลอดเวลา เมื่อบวกกับอากาศร้อน ๆ ของประเทศไทยแล้ว ก็เหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะจนรู้สึกไม่สบายตัวกันไปเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรอาบน้ำให้เรียบร้อย อาจจะแต่งตัวสบาย ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับชุดนอนให้รู้สึกเหมือนทำงานจริง ๆ สักหน่อย สาวออฟฟิศก็แต่งหน้านิดหน่อย เผื่อที่ทำงานวิดีโอคอลมาประชุมงานก็จะได้มั่นใจในบุคลิกภาพ​

2.เอากิจวัตรวันทำงานมาใช้ 

แม้ว่าการ WFH จะมีช่วงเวลาที่ยืดหยุ่นและการทำงานที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายและสมองของเราปรับสภาพจากกิจวัตรเดิม ๆ ไปที่ส่งผลให้เรารู้สึกขี้เกียจทำงาน ตื่นสายหรือใช้เวลาไปกับเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องงานจนไม่เป็นระบบ ทางที่ดีเราควรสร้างกิจวัตรประจำวันให้เหมือนวันทำงานโดยมีเวลาตื่น พักเที่ยงและทำงานแบบเดิม หรือไม่ก็จัดตารางขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อให้เราได้ทำงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ แล้วก็อย่าลืมหาวันพักผ่อนให้กับตัวเองด้วยล่ะ 

3.ลุกระหว่างทำงาน

พอนั่งทำงานเป็นเวลานานก็อาจส่งผลให้ร่างกายเราเมื่อยล้า สายตาเสีย เส้นยึดหรือเกิดอาการปวดหลัง ไหล่และขาได้ เราควรละสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ทุก​ ๆ​ 20​ นาที​ และลุกไปเปลี่ยนอิริยาบถ​ เดินไปมา​ สูดอากาศข้างนอก คุยกับคนที่บ้านหรือสัตว์เลี้ยงให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือจะออกกำลังกายแบบง่าย ๆ โยคะหรือท่ายืดเหยียดเพื่อให้กล้ามเนื้อ​เส้นเอ็นและข้อต่อ ได้ผ่อนคลาย​ และพร้อมสำหรับการทำงานได้ตลอดวัน

4.ตกแต่งมุมทำงานให้เลิศ 

บรรยากาศการทำงานก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะช่วยให้เรารู้สึกดีกับการทำงานมากขึ้น ถ้าวัน ๆ เราอยู่กับโต๊ะเดิม ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยก็อาจรู้สึกเบื่อจนไม่อยากทำงานได้ ง่าย ๆ เพียงแค่หาอะไรมาตกแต่งโต๊ะสักหน่อย อาจจะเป็นกรอบรูปภาพ ต้นไม้เล็ก ๆ เพิ่มพื้นที่สีเขียวพร้อมฟอกอากาศให้สดชื่น เลี้ยงปลาน้อย ๆ ไว้บนโต๊ะทำงานไว้มองเพลิน ๆ แก้เหงาใจ หรือเปลี่ยนไปใช้โต๊ะเก้าอี้ที่สวยงามและมีคุณภาพ บอกเลยว่าวิธีนี้แจ่มแน่นอน 

การเริ่มต้นทำงานที่บ้านในระยะแรก​ แน่นอนว่าจะต้องมีความไม่ลงตัวในหลาย​ ๆ​ อย่าง​ ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป​ ขอให้ปรับไปทีละอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา​ทีละเปลาะ ก็จะมีความลงตัวมากขึ้นและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

ในสถานการณ์ที่โควิดกลับมาระบาดอีกแบบนี้ ใครหลายคนก็จำใจต้องทำงานที่บ้านตามนโยบายของบริษัทกัน แม้ว่าการทำงานที่บ้านอาจทำให้เรามีเวลามากขึ้น แต่ก็อาจทำให้ใครบางคนละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเองระหว่างทำงานก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอนหรือการออกกำลังกาย วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำ 5 วิธีการดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้านในช่วงโควิด-19 มาฝากกัน

1.ทานอาหารเพื่อสุขภาพให้ครบมื้อ
ยิ่งมีโอกาสอยู่บ้านแบบนี้ การทำอาหารก็กลายเป็นงานอดิเรกหลัก ๆ ของชาวออฟฟิศเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าจะให้ดีเราควรจะทานอาหารให้ครบมื้อเป็นเวลา แถมยังเลือกทำเมนูที่ตัวเองชื่นชอบได้ด้วยนะ หรือไม่ก็ถือโอกาสนี้ทำอาหารคลีนหรืออาหารเพื่อสุขภาพทานที่บ้านกัน นอกจากจะได้ฝึกทักษะการทำอาหารแล้ว ก็ได้หุ่นดี ๆ เป็นโบนัสแถมด้วย

2.ปรับพื้นที่ทำงานของตัวเอง
บางคนอาจประสบปัญหาปวดหลังปวดคอหรือเบื่อการทำงานอยู่ที่บ้าน ดังนั้นทางที่ดีเราควรปรับพื้นที่การทำงานของตัวเองด้วยโต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่มี่คุณภาพ และวางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการนั่งและระดับสายตา ตกแต่งโต๊ะและบริเวณโดยรอบ เพิ่มต้นไม้บ้างเล็กน้อยให้ดูสดชื่นมากยิ่งขึ้น

3.ออกกำลังกายวันละนิด
การทำงานอยู่บ้านอาจจะทำให้เราละเลยการออกกำลังกายไปไม่ต่างจากการทำงานข้างนอกเลย บางครั้งอาจจะเพลินจนลืมเวลา หากนั่งทำงานนาน ๆ ไปก็ปวดหลัง ไหล่ติด หลังค่อม ปวดตา ออกมาขยับร่างกายบ้างอย่างน้อยวันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3-4 วัน เช่น เต้นแอโรบิก เล่นโยคะ วิ่งลู่วิ่งไฟฟ้า เป็นต้น ชวนครอบครัวมาออกกำลังกายด้วยกันบ้าง จะได้ไม่เล่นคนเดียวจนเบื่อ

4.นอนให้เพียงพอ
อย่าทำงานเพลินหรือดูซีรีส์จนพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะอาจจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและตึงเครียดในช่วงกักตัวแบบนี้ได้ ดังนั้นเราควรจัดตารางเวลาในแต่ละวันอย่างเหมาะสม พักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ร่างกายจะได้สดชื่น พร้อมทำงานและกิจกรรมในวันต่อ ๆ ไปได้อย่างเต็มที่

5.เมื่อออกนอกบ้าน ต้องป้องกัน
ในเวลาที่ต้องซื้อกับข้าวหรือออกไปนัดพบปะคนข้างนอกเมื่อจำเป็น เราจะต้องปฏิบัติตามข้อป้องกันอย่างเคร่งครัดด้วยการใส่หน้ากากอนามัย วัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และลงทะเบียนกับแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งเมื่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือในการคัดกรอง

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้านที่เรานำมาฝากกันนี้เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ในช่วงกักตัว นอกจากดูแลสุขภาพพื้นฐานกันแล้ว ก็อย่าลืมหมั่นสังเกตตัวเองเมื่อมีอาการที่เข้าข่ายว่าจะเป็นโควิด-19 จะได้รีบไปตรวจหาเชื้อและเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่ปลอดภัย

6 เคล็ดลับทำงานที่บ้าน ปรับชีวิต Work Life balance

6 เคล็ดลับทำงานที่บ้าน ปรับชีวิต Work Life balance

ด้วยเทรนด์อาชีพที่เปลี่ยนไป ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยก้าวเข้าสู่สายอาชีพฟรีแลนซ์ โดยลักษณะการทำงานของอาชีพฟรีแลนส์สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้หลายคนมีปัญหาเรื่องการจัดการเวลาในการทำงานจนส่งผลต่อสภาพจิตใจและสุขภาพร่างกาย เนื่องจากเวลาชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวขาดความสมดุล ซึ่งเคล็ดลับที่ช่วยปรับชีวิตให้มี Work Life balance มีดังนี้

1.แยกพื้นที่การทำงานและช่วงเวลาพักผ่อนออกจากกัน หลายคนจัดวางโต๊ะทำงานเอาไว้ในห้องรับแขก หรือห้องนอน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงาน แต่ความสะดวกสบายในการทำงานส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว เพราะเราจะไม่สามารถพักผ่อนหรือโฟกัสกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้งานเสร็จช้าและสูญเสียช่วงเวลาพักผ่อน

2.เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการทำงานให้พร้อม การจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบและจัดวางอุปกรณ์ หรือเครืองมือที่ใช้ในการทำงานเอาไว้เป็นสัดส่วน จะช่วยลดการเสียเวลาในการหาของ รวมถึงทำให้เราสามารถโฟกัสกับการทำงานได้เต็มที่ และสามารถหยิบจับอุปกรณ์มาใช้ในการทำงานได้ง่าย

3.จัดตารางการทำงาน แม้ว่าการทำงานฟรีแลนซ์จะไม่มีเจ้านายมาคอยควบคุมเวลาทำงาน แต่ก็ควรจัดตารางการทำงานด้วยตัวเอง เมื่อมีการจัดตารางเวลาไว้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตแบบ Work Life balance อย่างเหมาะสม รวมถึงกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์เพื่อลดความเครียดและเหนื่อยล้าของสมองและร่างกาย

4.หยุดการติดต่อสื่อสาร การทำงานฟรีแลนซ์ทำให้เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จนทำให้หลายคนติดนิสัยออนไลน์ตลอดเวลา แม้ว่าการติดต่อสื่อสารจะทำให้เรามีคอนเน็กชันเพิ่ม แต่ก็ควรหยุดพักในช่วงเวลาส่วนตัวบ้างเพื่อให้เราได้ออกไปใช้ชีวิตได้เต็มที่ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การแยกเบอร์และช่องทางติดต่อในการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน

5.ออกไปสู่โลกภายนอก การอยู่แต่ในบ้านเพื่อทำงานและพักผ่อนโดยไม่ออกไปรับลมชมบรรยากาศของโลกภายนอกนั้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียดสะสมได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงควรหาเวลาในช่วงวันหยุดออกไปพบปะผู้คนในสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่บ้านบ้าง

6.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน หากต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ควรตั้งเป้าหมายการทำงานต่อวันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน รวมถึงช่วยให้เราสามารถตอบลูกค้าได้ทันทีว่างานจะเสร็จสิ้นภายในวันไหน หรือมีความคืบหน้าของงานอย่างไรบ้าง รวมถึงทำให้เราสามารถจัดสรรเวลาทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและลดการรบกวนช่วงเวลาส่วนตัว

โดยสรุปแล้วการจัดสรรชีวิตฟรีแลนซ์ให้มีความสมดุลแบบ Work Life balance สามารถทำงานที่บ้านได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดพื้นที่การทำงานแยกออกจากพื้นที่พักผ่อน จัดสรรเวลาการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพักผ่อนได้ดีขึ้น

วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

หลายคนเริ่มทำงานจากที่บ้านมาพักใหญ่แล้ว แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายเลยเพราะมีอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวนของลูก ๆ การทำงานบ้านที่ไม่จบไม่สิ้น หรือสัตว์เลี้ยงตัวป่วนป้วนเปี้ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เสียสมาธิ วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้คือการปรับสภาพพื้นที่ทำงานให้มีสภาพแวดล้อมแบบโฮมออฟฟิศที่ช่วยให้ได้ทำงานจริง ๆ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับทำงานที่บ้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จกัน

1.เริ่มต้นตื่นแต่เช้า ก่อนหน้านี้เคยเดินทางไปออฟฟิศอย่างไร ควรตื่นตอนเช้าให้รู้สึกเหมือนพร้อมจะไปทำงาน กำหนดรายการสิ่งที่ต้องทำ แล้วเริ่มทำงานทันทีที่ตื่นนอน เราทำอะไรได้มากมายในช่วงเช้าตรู่ เริ่มจับงานชิ้นแรกแล้วทยอยทำไปทีละอย่างตลอดทั้งวัน การตื่นสายยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจะทำให้แรงจูงใจหมดไป และอาจเปลี่ยนใจจากคอมพิวเตอร์มาที่หมอนแทน

2.จัดตารางเวลาทำงานที่บ้านเหมือนที่ทำในสำนักงาน การทำงานไปเรื่อยแบบไม่มีเป้าหมายอาจหมดไฟหรือเสียสมาธิไปกับอย่างอื่นได้ง่าย ควรวางแผนว่าเวลาไหนควรทำงาน หยุดพักตอนไหน และทำให้เสร็จตามกำหนด วิธีการหยุดพักควรหยุดจริง ๆ ลุกออกจากโต๊ะทำงานไปเดินเล่นข้างนอกหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในบ้าน ไม่ควรเปิด YouTube ดูคลิปหรือใช้โซเชียลมีเดีย

3.การทำงานจากที่บ้านไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่กับบ้าน ถ้าในบ้านมีเสียงดังและสิ่งรบกวน เปลี่ยนเป็นโฮมออฟฟิศไม่ได้จริง ๆ ลองมองห้องสมุด ร้านกาแฟ หรือหรือสถานประกอบการอื่น ๆ ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi เพื่อใช้เป็นออฟฟิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเงียบช่วยให้ทำงานได้ดีกว่า ควรจัดพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะและเป็นสัดส่วนเพื่อให้ตั้งใจทำงานจริงจัง ช่วยให้มีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.ตั้งเป้าหมายไม่ยุ่งกับ Facebook, Line และโซเชียลมีเดียในระหว่างทำงาน ถึงจะเปิดดูเพียงสองสามนาทีแม้ไม่เสียเวลามากแต่ก็ทำให้เสียสมาธิในการทำงานโดยไม่รู้ตัว และส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ควรกำหนดเวลาการเข้าเช็คอีเมลและลบการแจ้งเตือนอัตโนมัติ

5.เลือกเวลาที่ทำงานแล้วมีประสิทธิผลสูงสุด เมื่อทำงานที่บ้าน แน่นอนว่าไม่มีใครกำหนดเวลาทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนเรามีเวลาที่พร้อมทำงานแตกต่างกัน ควรใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ได้ประสิทธิผลมากที่สุด หากตอนเช้าวุ่นวายกับการส่งลูกไปโรงเรียนและงานบ้านอื่น ๆ จนเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง แนะนำให้ทำภารกิจทุกอย่างให้เสร็จ ดื่มชาหรือกาแฟให้ตื่นตัวและตั้งสมาธิให้ดี จากนั้นจึงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่

6.จดจ่อกับสิ่งที่ทำ เรียนรู้วิธีจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าไขว้เขวเพราะจะทำให้เสียเวลาและเสียแรงทำงานมากขึ้น หากทำได้ตามคำแนะนำ คุณจะพบว่าสามารถทำงานเสร็จเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ในการทำงานทุกอย่างจะต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะทำงานอะไรบ้าง มีวินัยกับแผนงาน ยืดหยุ่นได้ตามต้องการแต่จะต้องไม่บ่อยนัก แนะนำให้ทำปฏิทินออนไลน์และแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลา ซึ่งจะช่วยให้บริหารจัดการเวลาทำงานที่บ้านง่ายขึ้น