ข้อดีของการทำงานที่บ้าน 2022

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน 2022

การทำงานในปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลาย เราสามารถทำงานได้จากที่บ้านหรือทำงานในออฟฟิศ รวมถึงร้านกาแฟที่มีบริการให้ใช้พื้นที่ทำงาน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ในส่วนของการทำงานที่บ้านหรือ work from home จะมีข้อดีอะไรบ้างนั้นมาดูพร้อมกันเลย

1. มีเวลาอยู่กับครอบครัวในที่คุ้นเคย 

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของการทำงานจากที่บ้าน คือ ได้อยู่ในบ้านของเราเองกับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยพ่อแม่ พี่น้อง ภรรยาและลูก ทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนทุกวันไม่ใช่วันทำงาน หันไปทางไหนก็มีแต่คนที่รักและทำให้มีกำลังใจในการทำงานไม่ว่าจะยากแค่ไหน

2. สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน

การทำงานจากที่บ้านนั้น เราสามารถจัดสรรเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้นและไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง สามารถทำงานที่หัวหน้างานมอบหมาย ควบคู่กับการเล่นหุ้นจากหน้าจอมือถือ การรับทำงานฟรีแลนซ์ต่าง ๆ เสริมได้ โดยไม่มีใครว่า อีกทั้งยังสามารถช่วยทำงานบ้านเป็นครั้งคราวได้ เช่น ช่วยทำอาหารบางมื้อ ช่วยดูแลลูก เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เป็นต้น

3. ลดค่าใช้จ่าย

ต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางเป็นสิ่งที่ทำให้เงินในกระเป๋าของเราทุกคนลดลง การขับรถที่เป็นระบบน้ำมันไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซลโดยทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบไฮบริด-รถไฟฟ้า แม้จะใช้เส้นทางสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง ก็ยังมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนแล้วเป็นหลักพันบาท การทำงานจากที่บ้านเท่ากับเราประหยัดเงินส่วนนี้ไว้เพื่อการออมในระยะยาวได้มากขึ้น

4. ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย

เราสามารถดูแลความสะอาดได้อย่างทั่วถึงในบ้านของเราเอง ทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ แต่หากเราเดินทางออกไปนอกบ้าน จะมีโอกาสได้รับเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินหายใจมากขึ้น เช่น ไวรัสโควิด ไข้หวัด วัณโรค ฯลฯ หากสมาชิกในบ้านมีผู้สูงวัยก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงโรคเหล่านี้แก่ท่านเหล่านั้นได้ ดังนั้นเรื่องของสุขภาพกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าม

5. มีเวลาออกกำลังกายมากขึ้น

หลายคนที่มักพูดว่า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำให้ดูอ้วนและแก่กว่าวัย หากทำงานที่บ้านและจัดตารางเวลาให้ลงตัว จะมีเวลาในการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าการกระโดดเชือก การวิดพื้น การเต้นแอโรบิกหรือการซื้อเครื่องออกกำลังกายมาเพื่อใช้เองในครอบครัว ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีด้านสุขภาพแน่นอน

การทำงานที่บ้านกำลังเป็นที่นิยม เราทุกคนต้องปรับตัวกับรูปแบบการสั่งงานที่แตกต่างไป เช่น สั่งงานผ่านระบบข้อความหรือไลน์ ส่งงานเป็นไฟล์ผ่านทางอีเมล การระดมความคิดกับทีมหรือประชุมต่าง ๆ ผ่านทางระบบซูม ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเอกสารและประหยัดเวลาได้อย่างมากด้วย

การทำงานที่บ้านมีข้อดี – ข้อเสียอย่างไรบ้าง

การทำงานที่บ้านมีข้อดี - ข้อเสียอย่างไรบ้าง

หลายคนไม่เคยทำงานที่บ้านมาก่อนรู้สึกกังวลเรื่องแบ่งเวลางานกับชีวิตส่วนตัวจากกันได้ยาก เกรงว่าจะไม่มีสมาธิเหมือนกับการทำงานในออฟฟิศ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการทำงานที่บ้านมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน

1.ความยืดหยุ่นและคล่องตัว
ในยุคโควิด-19 นายจ้างจำนวนมากเปลี่ยนมาใช้นโยบายทำงานจากที่บ้านและจัดตารางการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างน้อยก็มีวันทำงานจากที่บ้านเพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการเดินทางบนท้องถนนช่วงเช้าหรือเย็นทำให้มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น มีเวลาเตรียมงาน ดูแลลูกๆ และได้ใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น

2.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เริ่มทำงานที่บ้านครั้งแรก หลายคนอาจรู้สึกเป็นกังวล แต่ความจริงแล้วอุปสรรคนั้นน้อยมากเพราะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้ง่ายขึ้น มีเครื่องมือการสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานและการประชุมทีมที่มีประสิทธิภาพ การทำงานที่บ้านจึงให้ผลในทางตรงกันข้าม เพราะบ้านมีสภาพแวดล้อมที่เงียบขึ้น ไม่ถูกรบกวนหรือถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ เหมือนเวลาอยู่ในออฟฟิศ มีสมาธิทำงานได้นานขึ้นและเร็วขึ้น

3.เปิดโอกาสให้คิดอะไรใหม่
เมื่อองค์กรให้โอกาสลูกจ้างมีตัวเลือกว่าจะทำงานจากที่บ้านได้ เปิดโอกาสให้มีความกล้าริเริ่มความคิดใหม่ๆ ด้วยความรู้สึกมั่นใจว่าได้รับความไว้วางใจจากนายจ้างเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดความขยันแสวงหาความรู้เพิ่มพูนทักษะความสามารถ รู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้การทำงานออกมาดีที่สุด ส่งผลให้องค์กรมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่าคู่แข่ง

4.สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้น
การทำงานจากที่บ้านอำนวยความสะดวกสบายหลายด้าน ประหยัดเวลาเดินทาง ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ออกกำลังกาย มีเวลาทำอาหารเพื่อสุขภาพ และนอนหลับพักผ่อนมากขึ้น ความเครียดลดลง มีสุขภาพดีขึ้น

ข้อเสียของการทำงานที่บ้าน

1.รู้สึกโดดเดี่ยว การทำงานที่บ้านไม่เหมาะกับทุกคน
ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีที่ปรึกษา เป็นข้อเสียที่คนทำงานที่บ้านต้องเผชิญหน้ากันทุกคน บางคนชอบทำงานร่วมกับคนอื่น มีเพื่อนร่วมงาน และขอคำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับหัวหน้าเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี สภาพแวดล้อมที่บ้านอาจไม่เหมาะกับการทำงาน ไม่มีพื้นที่ทำงานเป็นส่วนตัว ขาดเครื่องมือสนับสนุนการทำงานที่ดีพอ บางคนมีลูกเล็กๆ หรือเสียงรบกวนทำให้งานหยุดชะงักไม่คืบหน้า

2.ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานได้ยาก
การทำงานจากทางไกลทำให้ประเมินผลการทำงานทำได้ยาก เมื่อไม่มีเจ้านายหรือหัวหน้าคอยติดตามผลงานและตรวจสอบบ่อย ๆ อาจเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ปล่อยให้เวลาล่วงเวลาเลยไปจนแก้ไขความผิดพลาดล่าช้า งานเสร็จไม่ตรงตามเป้าหมาย จำเป็นต้องวางแผนความร่วมมือให้ดีก่อนจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

3.จัดสรรเวลาไม่ดี เกิดภาวะหมดไฟ
การทำงานที่บ้านโดยไม่มีการวางแผนจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม ไม่รู้จักแยกแยะเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัว กลายเป็นเสพติดงานคิดเรื่องงานตลอดเวลา ทำงานนานต่อเนื่องจนเหน็ดเหนื่อยเกิดภาวะเครียด ไม่รู้ว่าเมื่อไรควรเลิกงานส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ ปวดเมื่อยเนื้อตัว สะสมนานวันจนในที่สุดก็เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน

ก่อนเริ่มทำงานที่บ้านควรจัดมุมทำงานเป็นสัดส่วนและจัดตารางการทำงานให้ดีมีวินัยกับตัวเองแล้วจะปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตที่ดีขึ้น ทำงานอย่างสบายใจโดยไม่ต้องมีวันลาพักร้อนเลยก็ได้

จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดี

จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดี

ในยุคนิวนอร์มอลเช่นปัจจุบัน หลายคนต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงาน จากเดิมที่อยู่ประจำในออฟฟิศกลายเป็นการอยู่ติดบ้าน แค่ในห้องแคบ ๆ ซึ่งในระยะแรกอาจรู้สึกถึงความสุขที่ได้มีอิสระเสรีในการใช้เวลาตามใจ แต่ผ่านไปสักระยะอาจตระหนักได้ว่าเราจัดการเวลาตัวเองได้ไม่ดีพอ ทำให้งานก็ไม่เสร็จและยังเสียชีวิตส่วนตัวไปด้วย เรามาดูกันว่า จะปรับตัวอย่างไรให้ทำงานที่บ้านได้ดีขึ้น

1.ไม่ทำงานบนที่นอน
การทำงานบนที่นอนจะทำให้คุณเผลอไผลกับการใช้เวลาดูหนังซีรีส์มากกว่าการตั้งใจทำงานจริง ๆ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หักห้ามใจต่ออาการขี้เกียจได้ยาก ก็ควรเลือกพื้นที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง วางโต๊ะเก้าอี้ และสร้างบรรยากาศให้เหมือนเป็นมุมทำงานในออฟฟิศ จะช่วยให้มีสมาธิและตั้งใจทำงานได้ดีขึ้น

2.หาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ
การทำงานที่บ้านเป็นสิ่งที่เหมาะกับคนที่มีแรงขับเคลื่อนในตัวเองสูง แต่คนที่ขาดเป้าหมายในชีวิต มักใช้เวลาเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัวไปเรื่อย ๆ ในระยะสั้น ๆ อาจรู้สึกดี แต่ในระยะยาวแล้วจะเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันได้ จึงต้องหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพื่อสร้างสีสันให้ชีวิตด้วย เช่น กำหนดให้มี 1-2 วันต่อสัปดาห์ที่จะไปซื้อของเข้าบ้านหรือขับรถไปหาซื้ออาหารร้านที่อร่อยกลับมารับประทานในบ้าน ฯลฯ

3.เขียนตารางบอร์ดลำดับความสำคัญ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยแยกแยะประเภทงานเป็น 4 ช่อง คือ งานด่วนและสำคัญ งานด่วนแต่ไม่สำคัญ งานสำคัญแต่ไม่ด่วน และงานที่ทั้งไม่ด่วนและไม่สำคัญ เราแนะนำให้คุณต้องทำต่อไป เพราะไม่ว่าจะทำงานจากที่ใด ในหนึ่งวันคุณยังมีเวลาจำกัดที่ 24 ชั่วโมงเสมอ เมื่อจำกัดตัวเองแล้ว จะได้ไม่เถลไถลไปกับการดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือนิยาย หรือดูซีรีส์มากเกินไป

4.ปิดเครื่องมือสื่อสาร
หากอยู่ในที่ทำงาน การใช้มือถือเพื่อตอบไลน์ เล่นแชท ย่อมถูกเพื่อนร่วมงานเขม่นหรือถูกเจ้านายตำหนิได้ แต่เมื่อทำงานในบ้านคุณจะไม่มีสถานการณ์บังคับเช่นนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เสียเวลาวันละหลายชั่วโมงสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงผ่านไลน์ หรือการใช้สื่อโซเชียลเพื่อช้อปปิ้งออนไลน์นานเกินไป คุณอาจต้องกำหนดเวลาการใช้มือถือว่าจะเปิดดูสื่อโซเชียลเฉพาะตอนช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเท่านั้น หรือกำหนดเวลาที่แน่นอน จะเป็นช่วงใดก็ได้ของวัน เช่น กำหนดว่าดูครั้งละไม่เกินกี่นาที เป็นต้น

การทำงานที่บ้านแตกต่างจากการทำงานในออฟฟิศ นอกจากความสามารถในการทำงานตามปกติแล้ว ยังต้องสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี ไม่ให้เสียสมาธิไปกับสิ่งยั่วยุรอบตัวหรือความสุขสบายที่ต้องการ หวังว่าบทความนี้จะให้ข้อคิดที่ทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานที่บ้านในยุค New Normal ได้ดีขึ้น

ของ 5 อย่างที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

ของ 5 อย่างที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

จนถึงตอนนี้ทุกคนคงคุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านกันเป็นอย่างดีแล้ว และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายก็คาดว่ารูปแบบการทำงานแบบ new normal ก็คงกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของหลายองค์กรไปแล้ว เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์ได้แล้วว่าถึงจะทำงานจากที่บ้านก็ยังคงคุณภาพผลงานได้อยู่ ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอกับของจำเป็นที่ต้องมีติดบ้านเมื่อต้องทำงานที่บ้านกันยาวต่อไป ควรเตรียมพร้อมกับสิ่งจำเป็น 5 อย่าง ซึ่งจะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

1.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คืออาวุธที่สำคัญที่สุดของการทำงานไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่บริษัท แต่การทำงานที่บ้านสำคัญกว่าตรงที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คสามารถยกไปทำงานที่มุมไหนของบ้านก็ได้ เพราะการนั่งติดโต๊ะตลอดทั้งวันไม่ใช่เรื่องดี นอกจากกล้ามเนื้อไม่ได้ผ่อนคลาย ยังเป็นการทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดยิ่งกว่าเก่าด้วย

2.โต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่นอกจากช่วยให้การทำงานลื่นไหลแล้ว ยังสามารถช่วยซัพพอร์ตส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เกิดความสมดุลอยู่ได้ อย่างเช่น หากต้องนั่งทำงานบนโต๊ะกินข้าวที่ต้องก้มหน้ามากเกินไปเวลาทำงาน อาจทำให้รู้สึกปวดคอ ปวดหลัง บางคนถึงกับปวดตาได้ ดังนั้นการทำงานที่บ้านจึงจำเป็นต้องมีโต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่อยู่ในระดับมาตรฐานเหมือนกับการนั่งทำงานในออฟฟิศด้วย

3.สัญญาณอินเตอร์เน็ต ต้องพร้อมใช้ตลอดเวลา สังเกตง่าย ๆ ได้เลยว่าพอทำงานที่บ้าน ก็มีแต่ประชุมออนไลน์แทบจะทั้งวัน ไม่ก็สั่งงานกันผ่านไลน์หรือ e-mail ดังนั้นเพื่อให้ทำงานได้ต่อเนื่องและป้องกันการถูกตำหนิจากหัวหน้าว่าเพราะอะไรถึงติดต่อเรื่องงานไม่ได้สักที ที่บ้านจึงต้องมีการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้สามารถรองรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม

4.กระดานหรือบอร์ดโน้ต ให้มีติดไว้ข้างโต๊ะ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีติดโต๊ะทำงานไว้ เพราะวันหนึ่ง ๆ มีงานหลายสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วยในการบันทึกหรือช่วยวางแผนการทำงานแต่ละวันไว้ใกล้มือเพื่อให้เรายังคงส่งมอบงานได้ทันตามกำหนดแม้ว่าจะต้องทำงานจากที่บ้านก็ตาม

5.ต้นไม้ จากผลการวิจัยพบว่าต้นไม้คือตัวกลางในการเชื่อมต่อเรากับโลกภายนอก แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีก 15% ได้ นั่นหมายถึงต้นไม้คือตัวช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงานไม่ให้อุดอู้จนเกินไป ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย และเมื่อร่างกายได้ผ่อนคลายจะทำให้สมองปลอดโปร่งจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ยังไงกันล่ะ

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือตัวช่วยและอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้การทำงานที่บ้านไม่น่าเบื่อและเคร่งเครียดจนเกินไป ไหน ๆ ก็ต้องเตรียมพร้อมกับการใช้ชีวิตแบบ new normal อยู่แล้ว ดังนั้นหากจะเตรียมตัวให้พร้อมกับการทำงานจากที่บ้านซึ่งจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรจึงเป็นเรื่องที่ดีที่ช่วยให้ชีวิตการทำงานมั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลา

ทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลา

ช่วงโควิดแบบนี้ หลายบริษัทออกมาตรการให้ work from home กันยกใหญ่เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรค แต่การทำงานอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ นอกจากจะรู้สึกเหงาแล้ว บรรยากาศก็ยังชวนง่วงอีกต่างหาก วันนี้เราจึงอยากจะมาแชร์ 4 เคล็ดลับทำงานที่บ้านอย่างไรให้สดชื่น ตื่นตัวพร้อม WFH ตลอดเวลาให้กับชาวออฟฟิศในช่วงนี้กัน 

1.อาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่น

WFH ใช่ว่าไม่อาบน้ำทำงานยาว ๆ แล้วจะดีนะ เพราะบางทีการอยู่ในชุดนอนแล้วไม่อาบน้ำก็ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่นเหมือนเพิ่งตื่นนอนใหม่ ๆ ตลอดเวลา เมื่อบวกกับอากาศร้อน ๆ ของประเทศไทยแล้ว ก็เหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะจนรู้สึกไม่สบายตัวกันไปเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรอาบน้ำให้เรียบร้อย อาจจะแต่งตัวสบาย ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับชุดนอนให้รู้สึกเหมือนทำงานจริง ๆ สักหน่อย สาวออฟฟิศก็แต่งหน้านิดหน่อย เผื่อที่ทำงานวิดีโอคอลมาประชุมงานก็จะได้มั่นใจในบุคลิกภาพ​

2.เอากิจวัตรวันทำงานมาใช้ 

แม้ว่าการ WFH จะมีช่วงเวลาที่ยืดหยุ่นและการทำงานที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายและสมองของเราปรับสภาพจากกิจวัตรเดิม ๆ ไปที่ส่งผลให้เรารู้สึกขี้เกียจทำงาน ตื่นสายหรือใช้เวลาไปกับเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องงานจนไม่เป็นระบบ ทางที่ดีเราควรสร้างกิจวัตรประจำวันให้เหมือนวันทำงานโดยมีเวลาตื่น พักเที่ยงและทำงานแบบเดิม หรือไม่ก็จัดตารางขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อให้เราได้ทำงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ แล้วก็อย่าลืมหาวันพักผ่อนให้กับตัวเองด้วยล่ะ 

3.ลุกระหว่างทำงาน

พอนั่งทำงานเป็นเวลานานก็อาจส่งผลให้ร่างกายเราเมื่อยล้า สายตาเสีย เส้นยึดหรือเกิดอาการปวดหลัง ไหล่และขาได้ เราควรละสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ทุก​ ๆ​ 20​ นาที​ และลุกไปเปลี่ยนอิริยาบถ​ เดินไปมา​ สูดอากาศข้างนอก คุยกับคนที่บ้านหรือสัตว์เลี้ยงให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือจะออกกำลังกายแบบง่าย ๆ โยคะหรือท่ายืดเหยียดเพื่อให้กล้ามเนื้อ​เส้นเอ็นและข้อต่อ ได้ผ่อนคลาย​ และพร้อมสำหรับการทำงานได้ตลอดวัน

4.ตกแต่งมุมทำงานให้เลิศ 

บรรยากาศการทำงานก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะช่วยให้เรารู้สึกดีกับการทำงานมากขึ้น ถ้าวัน ๆ เราอยู่กับโต๊ะเดิม ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยก็อาจรู้สึกเบื่อจนไม่อยากทำงานได้ ง่าย ๆ เพียงแค่หาอะไรมาตกแต่งโต๊ะสักหน่อย อาจจะเป็นกรอบรูปภาพ ต้นไม้เล็ก ๆ เพิ่มพื้นที่สีเขียวพร้อมฟอกอากาศให้สดชื่น เลี้ยงปลาน้อย ๆ ไว้บนโต๊ะทำงานไว้มองเพลิน ๆ แก้เหงาใจ หรือเปลี่ยนไปใช้โต๊ะเก้าอี้ที่สวยงามและมีคุณภาพ บอกเลยว่าวิธีนี้แจ่มแน่นอน 

การเริ่มต้นทำงานที่บ้านในระยะแรก​ แน่นอนว่าจะต้องมีความไม่ลงตัวในหลาย​ ๆ​ อย่าง​ ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป​ ขอให้ปรับไปทีละอย่างเพื่อแก้ไขปัญหา​ทีละเปลาะ ก็จะมีความลงตัวมากขึ้นและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้าน

ในสถานการณ์ที่โควิดกลับมาระบาดอีกแบบนี้ ใครหลายคนก็จำใจต้องทำงานที่บ้านตามนโยบายของบริษัทกัน แม้ว่าการทำงานที่บ้านอาจทำให้เรามีเวลามากขึ้น แต่ก็อาจทำให้ใครบางคนละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเองระหว่างทำงานก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอนหรือการออกกำลังกาย วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำ 5 วิธีการดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้านในช่วงโควิด-19 มาฝากกัน

1.ทานอาหารเพื่อสุขภาพให้ครบมื้อ
ยิ่งมีโอกาสอยู่บ้านแบบนี้ การทำอาหารก็กลายเป็นงานอดิเรกหลัก ๆ ของชาวออฟฟิศเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าจะให้ดีเราควรจะทานอาหารให้ครบมื้อเป็นเวลา แถมยังเลือกทำเมนูที่ตัวเองชื่นชอบได้ด้วยนะ หรือไม่ก็ถือโอกาสนี้ทำอาหารคลีนหรืออาหารเพื่อสุขภาพทานที่บ้านกัน นอกจากจะได้ฝึกทักษะการทำอาหารแล้ว ก็ได้หุ่นดี ๆ เป็นโบนัสแถมด้วย

2.ปรับพื้นที่ทำงานของตัวเอง
บางคนอาจประสบปัญหาปวดหลังปวดคอหรือเบื่อการทำงานอยู่ที่บ้าน ดังนั้นทางที่ดีเราควรปรับพื้นที่การทำงานของตัวเองด้วยโต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่มี่คุณภาพ และวางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการนั่งและระดับสายตา ตกแต่งโต๊ะและบริเวณโดยรอบ เพิ่มต้นไม้บ้างเล็กน้อยให้ดูสดชื่นมากยิ่งขึ้น

3.ออกกำลังกายวันละนิด
การทำงานอยู่บ้านอาจจะทำให้เราละเลยการออกกำลังกายไปไม่ต่างจากการทำงานข้างนอกเลย บางครั้งอาจจะเพลินจนลืมเวลา หากนั่งทำงานนาน ๆ ไปก็ปวดหลัง ไหล่ติด หลังค่อม ปวดตา ออกมาขยับร่างกายบ้างอย่างน้อยวันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3-4 วัน เช่น เต้นแอโรบิก เล่นโยคะ วิ่งลู่วิ่งไฟฟ้า เป็นต้น ชวนครอบครัวมาออกกำลังกายด้วยกันบ้าง จะได้ไม่เล่นคนเดียวจนเบื่อ

4.นอนให้เพียงพอ
อย่าทำงานเพลินหรือดูซีรีส์จนพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะอาจจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและตึงเครียดในช่วงกักตัวแบบนี้ได้ ดังนั้นเราควรจัดตารางเวลาในแต่ละวันอย่างเหมาะสม พักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ร่างกายจะได้สดชื่น พร้อมทำงานและกิจกรรมในวันต่อ ๆ ไปได้อย่างเต็มที่

5.เมื่อออกนอกบ้าน ต้องป้องกัน
ในเวลาที่ต้องซื้อกับข้าวหรือออกไปนัดพบปะคนข้างนอกเมื่อจำเป็น เราจะต้องปฏิบัติตามข้อป้องกันอย่างเคร่งครัดด้วยการใส่หน้ากากอนามัย วัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และลงทะเบียนกับแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งเมื่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือในการคัดกรอง

วิธีดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อต้องทำงานที่บ้านที่เรานำมาฝากกันนี้เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ในช่วงกักตัว นอกจากดูแลสุขภาพพื้นฐานกันแล้ว ก็อย่าลืมหมั่นสังเกตตัวเองเมื่อมีอาการที่เข้าข่ายว่าจะเป็นโควิด-19 จะได้รีบไปตรวจหาเชื้อและเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่ปลอดภัย

6 เคล็ดลับทำงานที่บ้าน ปรับชีวิต Work Life balance

6 เคล็ดลับทำงานที่บ้าน ปรับชีวิต Work Life balance

ด้วยเทรนด์อาชีพที่เปลี่ยนไป ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยก้าวเข้าสู่สายอาชีพฟรีแลนซ์ โดยลักษณะการทำงานของอาชีพฟรีแลนส์สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้หลายคนมีปัญหาเรื่องการจัดการเวลาในการทำงานจนส่งผลต่อสภาพจิตใจและสุขภาพร่างกาย เนื่องจากเวลาชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวขาดความสมดุล ซึ่งเคล็ดลับที่ช่วยปรับชีวิตให้มี Work Life balance มีดังนี้

1.แยกพื้นที่การทำงานและช่วงเวลาพักผ่อนออกจากกัน หลายคนจัดวางโต๊ะทำงานเอาไว้ในห้องรับแขก หรือห้องนอน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงาน แต่ความสะดวกสบายในการทำงานส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว เพราะเราจะไม่สามารถพักผ่อนหรือโฟกัสกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้งานเสร็จช้าและสูญเสียช่วงเวลาพักผ่อน

2.เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการทำงานให้พร้อม การจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบและจัดวางอุปกรณ์ หรือเครืองมือที่ใช้ในการทำงานเอาไว้เป็นสัดส่วน จะช่วยลดการเสียเวลาในการหาของ รวมถึงทำให้เราสามารถโฟกัสกับการทำงานได้เต็มที่ และสามารถหยิบจับอุปกรณ์มาใช้ในการทำงานได้ง่าย

3.จัดตารางการทำงาน แม้ว่าการทำงานฟรีแลนซ์จะไม่มีเจ้านายมาคอยควบคุมเวลาทำงาน แต่ก็ควรจัดตารางการทำงานด้วยตัวเอง เมื่อมีการจัดตารางเวลาไว้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตแบบ Work Life balance อย่างเหมาะสม รวมถึงกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์เพื่อลดความเครียดและเหนื่อยล้าของสมองและร่างกาย

4.หยุดการติดต่อสื่อสาร การทำงานฟรีแลนซ์ทำให้เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จนทำให้หลายคนติดนิสัยออนไลน์ตลอดเวลา แม้ว่าการติดต่อสื่อสารจะทำให้เรามีคอนเน็กชันเพิ่ม แต่ก็ควรหยุดพักในช่วงเวลาส่วนตัวบ้างเพื่อให้เราได้ออกไปใช้ชีวิตได้เต็มที่ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การแยกเบอร์และช่องทางติดต่อในการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน

5.ออกไปสู่โลกภายนอก การอยู่แต่ในบ้านเพื่อทำงานและพักผ่อนโดยไม่ออกไปรับลมชมบรรยากาศของโลกภายนอกนั้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียดสะสมได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงควรหาเวลาในช่วงวันหยุดออกไปพบปะผู้คนในสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่บ้านบ้าง

6.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน หากต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ควรตั้งเป้าหมายการทำงานต่อวันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน รวมถึงช่วยให้เราสามารถตอบลูกค้าได้ทันทีว่างานจะเสร็จสิ้นภายในวันไหน หรือมีความคืบหน้าของงานอย่างไรบ้าง รวมถึงทำให้เราสามารถจัดสรรเวลาทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและลดการรบกวนช่วงเวลาส่วนตัว

โดยสรุปแล้วการจัดสรรชีวิตฟรีแลนซ์ให้มีความสมดุลแบบ Work Life balance สามารถทำงานที่บ้านได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดพื้นที่การทำงานแยกออกจากพื้นที่พักผ่อน จัดสรรเวลาการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพักผ่อนได้ดีขึ้น

อาชีพอะไรที่มีแนวโน้มทำงานที่บ้านมากขึ้น

อาชีพอะไรที่มีแนวโน้มทำงานที่บ้านมากขึ้น

ในปัจจุบันเป็นช่วงที่ไวรัสโควิดระบาด บริษัทและผู้ประกอบการธุรกิจทั่วโลกจึงมีการปรับเปลี่ยนลดต้นทุนในการทำงานมากขึ้น ควบคู่กับการปฏิบัติตามนโยบาย social distance หรือมีระยะห่างทางสังคม ด้วยการให้พนักงานทำงานที่บ้านมากขึ้น หรือที่เรียกว่า work from home (WFH)​ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีแนวโน้มทำงานแบบ WFH มากขึ้นเรื่อย ๆ

เรามาดูกันว่ามีอาชีพอะไรบ้างที่มีแนวโน้มทำงานจากที่บ้านมากขึ้น

1.ผู้พัฒนาเว็บไซต์
การทำงานด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รวมถึงการดูแลพัฒนาเว็บไซต์เป็นงานที่ไม่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก การทำงานด้านพัฒนาเว็บไซต์ถือว่าเป็นงานยอดนิยมที่สอดคล้องกับยุค 5G มีรายได้ดีอันดับต้น ๆ ในสายไอที ซึ่งสายงานนี้เหมาะแก่การทำงานที่บ้านอย่างยิ่ง เพียงมีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วสูง ก็สามารถทำงานได้อย่างไม่สะดุดแล้ว

2.เป็นผู้แปลภาษา
งานแปลภาษามีความจำเป็นมากขึ้นในยุคนี้ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อธุรกิจประสานงานทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีหลายภาษาที่จำเป็น เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ หากคุณมีความสามารถในการแปลภาษา หรือทำงานเป็นล่าม ก็สามารถทำงานจากที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องเดินทางเลย โดยผู้รับจ้างสามารถรับงานประเภทคลิปหรือสื่อมีเดียจากผู้ว่าจ้างและส่งตามกำหนดเวลา

3.ติวเตอร์ให้ความรู้
การเรียนการสอนในยุคปัจจุบันใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น และยังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานแล้ว​ แต่ยังสนใจพัฒนาตัวเองอีกเป็นจำนวนมาก เช่น ด้านภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ภาษาอังกฤษ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมไอทีต่าง ๆ จึงมีความต้องการผู้สอนหรือติวเตอร์ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ผู้ที่ถนัดงานสอนจึงสามารถทำงานที่บ้านได้ง่าย ๆ ด้วยการอัดคลิปหรือไลฟ์สด สอนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้ โดยใช้ช่องทางแพลตฟอร์มสาธารณะอย่าง Facebook และ YouTube ในการสื่อสาร เป็นต้น

4.นักเขียน
งานนักเขียนจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะธุรกิจด้านสุขภาพ อาหาร แฟชั่น ฯลฯ กำลังทยอยเข้าสู่ระบบออนไลน์ ทำให้ทุกเว็บไซต์ต่างต้องการเนื้อหาสาระใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มอันดับ SEO ทำให้เพิ่มยอดขายได้มากขึ้น อาชีพนักเขียนออนไลน์จึงเป็นอีกงานที่มีแนวโน้มจ้างงานสูงและสามารถทำงานจากที่บ้านได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้เทคนิคในการเขียนตามแนวที่ Google กำหนดด้วย

การทำงานที่บ้านมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในอนาคต และนับว่าเป็นช่องทางของการประกอบอาชีพใหม่ ๆ ที่มีรายได้สูงมากขึ้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มองหาอาชีพที่สามารถทำงานได้จากที่บ้าน ขอเพียงค้นหาตัวเองว่าเหมาะสมกับงานอะไร และมีความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองในสายงานนั้น ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน

วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

หลายคนเริ่มทำงานจากที่บ้านมาพักใหญ่แล้ว แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายเลยเพราะมีอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวนของลูก ๆ การทำงานบ้านที่ไม่จบไม่สิ้น หรือสัตว์เลี้ยงตัวป่วนป้วนเปี้ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เสียสมาธิ วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้คือการปรับสภาพพื้นที่ทำงานให้มีสภาพแวดล้อมแบบโฮมออฟฟิศที่ช่วยให้ได้ทำงานจริง ๆ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับทำงานที่บ้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จกัน

1.เริ่มต้นตื่นแต่เช้า ก่อนหน้านี้เคยเดินทางไปออฟฟิศอย่างไร ควรตื่นตอนเช้าให้รู้สึกเหมือนพร้อมจะไปทำงาน กำหนดรายการสิ่งที่ต้องทำ แล้วเริ่มทำงานทันทีที่ตื่นนอน เราทำอะไรได้มากมายในช่วงเช้าตรู่ เริ่มจับงานชิ้นแรกแล้วทยอยทำไปทีละอย่างตลอดทั้งวัน การตื่นสายยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจะทำให้แรงจูงใจหมดไป และอาจเปลี่ยนใจจากคอมพิวเตอร์มาที่หมอนแทน

2.จัดตารางเวลาทำงานที่บ้านเหมือนที่ทำในสำนักงาน การทำงานไปเรื่อยแบบไม่มีเป้าหมายอาจหมดไฟหรือเสียสมาธิไปกับอย่างอื่นได้ง่าย ควรวางแผนว่าเวลาไหนควรทำงาน หยุดพักตอนไหน และทำให้เสร็จตามกำหนด วิธีการหยุดพักควรหยุดจริง ๆ ลุกออกจากโต๊ะทำงานไปเดินเล่นข้างนอกหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในบ้าน ไม่ควรเปิด YouTube ดูคลิปหรือใช้โซเชียลมีเดีย

3.การทำงานจากที่บ้านไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่กับบ้าน ถ้าในบ้านมีเสียงดังและสิ่งรบกวน เปลี่ยนเป็นโฮมออฟฟิศไม่ได้จริง ๆ ลองมองห้องสมุด ร้านกาแฟ หรือหรือสถานประกอบการอื่น ๆ ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi เพื่อใช้เป็นออฟฟิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเงียบช่วยให้ทำงานได้ดีกว่า ควรจัดพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะและเป็นสัดส่วนเพื่อให้ตั้งใจทำงานจริงจัง ช่วยให้มีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.ตั้งเป้าหมายไม่ยุ่งกับ Facebook, Line และโซเชียลมีเดียในระหว่างทำงาน ถึงจะเปิดดูเพียงสองสามนาทีแม้ไม่เสียเวลามากแต่ก็ทำให้เสียสมาธิในการทำงานโดยไม่รู้ตัว และส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ควรกำหนดเวลาการเข้าเช็คอีเมลและลบการแจ้งเตือนอัตโนมัติ

5.เลือกเวลาที่ทำงานแล้วมีประสิทธิผลสูงสุด เมื่อทำงานที่บ้าน แน่นอนว่าไม่มีใครกำหนดเวลาทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนเรามีเวลาที่พร้อมทำงานแตกต่างกัน ควรใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ได้ประสิทธิผลมากที่สุด หากตอนเช้าวุ่นวายกับการส่งลูกไปโรงเรียนและงานบ้านอื่น ๆ จนเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง แนะนำให้ทำภารกิจทุกอย่างให้เสร็จ ดื่มชาหรือกาแฟให้ตื่นตัวและตั้งสมาธิให้ดี จากนั้นจึงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่

6.จดจ่อกับสิ่งที่ทำ เรียนรู้วิธีจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าไขว้เขวเพราะจะทำให้เสียเวลาและเสียแรงทำงานมากขึ้น หากทำได้ตามคำแนะนำ คุณจะพบว่าสามารถทำงานเสร็จเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ในการทำงานทุกอย่างจะต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะทำงานอะไรบ้าง มีวินัยกับแผนงาน ยืดหยุ่นได้ตามต้องการแต่จะต้องไม่บ่อยนัก แนะนำให้ทำปฏิทินออนไลน์และแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลา ซึ่งจะช่วยให้บริหารจัดการเวลาทำงานที่บ้านง่ายขึ้น

ทำงานที่บ้านหรือสำนักงานดีกว่ากัน

ข้อดีของการทำงานที่สำนักงาน

เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในเวลานี้ ทำให้ทั้งโลกติดต่อกันง่ายมากขึ้น ทำให้แม้จะห่างกันครึ่งซีกโลกก็ยังสามารถพบปะพูดคุยกันได้ เกิดการสั่งสินค้าจากอีกประเทศ เผยแพร่วัฒนธรรมการกินอยู่ของแต่ละประเทศได้ง่ายขึ้น บางครั้งไม่จำเป็นต้องไปถึงประเทศนั้นด้วยตัวเอง ก็สามารถดูข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต อ่านรีวิว หรือบทความเพื่อหาความรู้ได้เอง มีคลิปวิดีโอสอน หรือให้ความรู้มากมาย รวมถึงการทำงานด้วย เมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีเข้ามาทำให้สามารถทำงานได้แทบทุกที่และตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศเพื่อไปทำงานอีกต่อไป จึงเกิดประเด็นข้อสงสัยว่าระว่างการ ทำงานที่บ้าน กับ การทำงานที่สำนักงานนั้น แบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งเราได้นำข้อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย มาให้พิจารณากัน

ทำงานที่สำนักงาน

ข้อดีของการทำงานที่สำนักงาน

การประสานงานแต่ละแผนก หรือภายในแผนกเป็นไปได้ง่าย เพราะสามารถเห็นหน้า พูดคุยได้โดยตรง

ทราบเวลาปฏิบัติงานที่แน่นอน พนักงานต้องมีวินัย

พนักงานมีปฏิสัมพันธ์ มีสังคมในสำนักงาน สังคมกว้างขึ้น

มีบุคลากร พนักงาน เจ้านายคอยช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา

มีการพัฒนาศักยภาพในการทำงานแน่นอน เนื่องจากพบเจอผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราในสำนักงาน

เหมาะสำหรับพนักงานใหม่ ที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือประสบการณ์ในการทำงานน้อย เพื่อให้มีเพื่อนร่วมงานสอนงาน

ข้อเสียของการทำงานที่สำนักงาน

ต้องเดินทาง การเดินทางแต่ละวันทำให้เสียรายได้และเวลาไปมาก

เกิดปัญหาในด้านของบุคคลได้ง่ายเนื่องจาก นินทาว่าร้าย มีการเมืองในสำนักงาน

มีกฎระเบียบในสำนักงาน

การทำงานแบบเดิม ๆ ในทุกวัน ทำงานเป็นเวลา อาจทำให้เกิดอาการเบื่อหน่าย

บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงในการให้พนักงานทำงานที่บริษัท เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอุปกรณ์ทำงาน เป็นต้น

ทำงานที่บ้าน

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน

มีอิสระ จัดสรรเวลาในการทำงานเอง

ตื่นมา ก็เริ่มทำงานได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน

ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากมีสมาธิ ไม่ค่อยมีสิ่งรบกวนมากเท่าออฟฟิศ

ทำงานได้หลายอย่างในหนึ่งวัน

ช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องจากพนักงานไม่ได้เข้าออฟฟิศ

เหมาะกับคนที่มีวินัยสูง มีความรับผิดชอบสูง และสามารถควบคุมตนเองได้ เนื่องจากต้องจัดการเวลาในการทำงานเอง และเหมาะกับประเภทงานอิสระ ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับแผนกอื่นมากทำงานที่บ้านหรือสำนักงานดีกว่ากัน

ข้อเสียการทำงานที่บ้าน

ไม่มีสังคมเพื่อนร่วมงาน

ไม่มีมีบุคลากร พนักงาน เจ้านายคอยช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา

ต้องมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เพียงพอกับการทำงาน

พนักงานต้องมีวินัยและความรับผิดชอบ เพื่อทำงานให้สำเร็จ

ไม่เหมาะสำหรับพนักงานใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งนั้น ๆ

จะเห็นได้ว่าการทำงานที่สำนักงานหรือการทำงานที่บ้าน ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและลักษณะประเภทของงาน ซึ่งแต่ละคนย่อมมีเหตุผล ความจำเป็น หรือความถนัดแตกต่างกันออกไป หลายคนไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ เพราะรู้ตัวเองว่าขาดวินัยและไม่มีแรงกระตุ้น จึงต้องการทำงานที่สำนักงานมากกว่า แต่บางคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ต้องการอิสระในการจัดการเวลาทำงานเองได้ ก็เลือกทำงานที่บ้านแทน หางานตามความถนัดและมีวินัยในการทำงานมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ สิ่งสุดท้ายที่ต้องไม่ลืมคือ ต้องมีรายได้ที่เพียงพอและมีความสุขในการทำงานด้วย