อยู่บ้านก็ทำงานได้ 9 อาชีพ ในยุค Work From Home

อยู่บ้านก็ทำงานได้ 9 อาชีพ ในยุค Work From Home

เนื่องจากกระแสการทำงานจากที่บ้านยังคงกำหนดทิศทางของแรงงานยุคใหม่ อาชีพบางอาชีพจึงได้รับความนิยมเป็นพิเศษและมีแนวโน้มสำหรับการจ้างงานนอกสถานที่ มาเจาะลึกอาชีพทั้ง 9 อาชีพเหล่านี้กัน

1.การพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรรม: ด้วยความต้องการโซลูชันดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น บทบาทด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรรมจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้สามารถทำงานจากระยะไกลในการเขียนโค้ด ทดสอบ และปรับใช้แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ โดยทำงานร่วมกับทีมผ่านแพลตฟอร์มการสื่อสารเสมือนจริง

2.การตลาดดิจิทัล: การตลาดดิจิทัลครอบคลุมบทบาทที่หลากหลาย รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO นักการตลาดเนื้อหา ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย และนักการตลาดผ่านอีเมล ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถใช้กลยุทธ์การตลาด วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ และมีส่วนร่วมกับผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพจากที่บ้าน

3.การสร้างและการเขียนเนื้อหา: การสร้างเนื้อหาได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจออนไลน์ นักเขียน บล็อกเกอร์ นักเขียนคำโฆษณา และนักยุทธศาสตร์ด้านเนื้อหาสามารถประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมระยะไกลโดยการผลิตเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับเว็บไซต์ บล็อก โซเชียลมีเดีย และแคมเปญการตลาด

4.การออกแบบกราฟิก: นักออกแบบกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบรนด์และการสื่อสารด้วยภาพ ด้วยการเข้าถึงซอฟต์แวร์การออกแบบและเครื่องมือการทำงานร่วมกัน พวกเขาสามารถสร้างภาพ โลโก้ ภาพประกอบ และเนื้อหามัลติมีเดียที่น่าทึ่งขณะทำงานจากระยะไกล

5.การสอนและการติวออนไลน์: ความต้องการการศึกษาออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเพิ่มขึ้นสำหรับการสอนและการสอนทางไกล นักการศึกษาสามารถจัดชั้นเรียนเสมือนจริง พัฒนาเนื้อหาหลักสูตร และให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลแก่นักเรียนทั่วโลก

6.ความช่วยเหลือเสมือน: ผู้ช่วยเสมือนให้การสนับสนุนด้านการบริหาร เทคนิค และสร้างสรรค์แก่ธุรกิจและผู้ประกอบการจากระยะไกล งานอาจรวมถึงการกำหนดเวลาการนัดหมาย การจัดการอีเมล การค้นคว้า และการจัดการบัญชีโซเชียลมีเดีย

7.อีคอมเมิร์ซและการค้าปลีกออนไลน์: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญระยะไกลในการจัดการแง่มุมต่างๆ ของการค้าปลีกออนไลน์ เช่น รายการผลิตภัณฑ์ การบริการลูกค้า การจัดการสินค้าคงคลัง และการตลาดดิจิทัล พนักงานที่ทำงานทางไกลในสาขานี้มีส่วนช่วยให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

8.การวิเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์: การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน นักวิเคราะห์ข้อมูลและนักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานจากระยะไกลเพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และตีความข้อมูล โดยให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าที่ขับเคลื่อนความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์และการเติบโตของธุรกิจ

9.การสนับสนุนด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพทางไกล: บริการสุขภาพทางไกลได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพระยะไกล รวมถึงแพทย์ พยาบาล นักบำบัด และผู้เขียนโค้ดทางการแพทย์ สามารถให้คำปรึกษาเสมือนจริง ตรวจสอบสุขภาพของผู้ป่วยจากระยะไกล และจัดการเวชระเบียนได้อย่างปลอดภัยจากที่บ้าน

อาชีพเหล่านี้มอบความยืดหยุ่น ความเป็นอิสระ และโอกาสในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเป็นเลิศในสภาพแวดล้อมการทำงานทางไกล เนื่องจากแนวโน้มการทำงานจากที่บ้านยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญในสาขาเหล่านี้สามารถคาดหวังการเติบโตและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมของตนได้

เทคนิคการทำงานที่บ้านให้ไม่ง่วง

ทำงานที่บ้านให้ไม่ง่วงนอน

1.ทำตามตารางเวลา เข้านอนและตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ สิ่งนี้จะช่วยควบคุมวงจรการหลับ-ตื่นตามธรรมชาติของร่างกายคุณ

2.นอนหลับให้เพียงพอ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการการนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน หากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ คุณมีแนวโน้มที่จะรู้สึกง่วงระหว่างวัน

3.สร้างพื้นที่ทำงานเฉพาะ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมีสมาธิและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นที่ทำงานของคุณมีแสงสว่างเพียงพอและปราศจากสิ่งรบกวน

4.หยุดพักระหว่างวัน ลุกขึ้นและเคลื่อนไหวทุกๆ 20-30 นาทีเพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งนิ่งเกินไป คุณยังสามารถเดินระยะสั้นหรือยืดเส้นยืดสายได้

5.ดื่มน้ำมากๆ ภาวะขาดน้ำอาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำมากๆ ตลอดทั้งวัน

6.หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน คาเฟอีนและแอลกอฮอล์สามารถรบกวนการนอนหลับได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงในช่วงเวลาก่อนเข้านอน

ทานอาหารที่มีประโยชน์. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะทำให้คุณมีพลังงานที่จำเป็นต่อการตื่นตัวตลอดวัน

7.รับแสงแดดบ้าง แสงแดดช่วยควบคุมวงจรการหลับ-ตื่นตามธรรมชาติของร่างกายคุณ หากทำได้ ให้รับแสงแดดในตอนเช้า

8.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ. การออกกำลังกายสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนของคุณได้ ตั้งเป้าออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาทีเกือบทุกวันในสัปดาห์

9.ไปพบแพทย์หากคุณยังคงมีปัญหาในการนอนหลับ อาจมีโรคประจำตัวที่ทำให้คุณง่วงนอน

ฉันหวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณตื่นตัวและทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Work from Home แบบหมดห่วงด้วย 5 วิธีทำงานที่บ้านให้ได้ประสิทธิภาพ

Work from Home แบบหมดห่วงด้วย 5 วิธีทำงานที่บ้านให้ได้ประสิทธิภาพ

นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายองค์กรต่างหันมาใช้วิธี Work from Home หรือการทำงานจากที่บ้านเพื่อเว้นระยะห่างและลดการติดเชื้อ แต่แม้ว่าโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นและแพร่ระบาดน้อยลงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นองค์กรจำนวนมากยังคงมีนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ซึ่งบางครั้งหลายคนเจอปัญหาว่าการทำงานจากบ้านไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ทำงาน เพราะฉะนั้นลองมาดู 5 วิธีที่จะทำให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพและไม่น่าเบื่อ

1. มุมทำงานที่เหมาะสม

นับเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะมุมทำงานที่ดีส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เทคนิคจัดมุมทำงาน คือ แสงสว่างต้องเพียงพอ ระบายอากาศได้ดี ไม่อบอ้าว หากเป็นไปได้ควรเลือกมุมที่ชมวิวด้านนอกได้ เพื่อเป็นการพักสายตา

2. เก้าอี้ที่ดีต่อสุขภาพ

แต่ละวันคนเราต้องใช้เวลาทำงาน 8-9 ชั่วโมงต่อวัน เก้าอี้ที่ออกแบบมาเพื่อการนั่งนาน ๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรลงทุน สำหรับเก้าอี้ควรเลือกแบบรองรับสรีระ กระจายน้ำหนักได้ดี มีพนักพิงหลังและที่วางแขน อย่าลืมซื้อเบาะรองหลังเพิ่มเติมเพื่อลดอาการปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรม

3. แยกมุมทำงานและมุมพักผ่อนอย่างชัดเจน

แม้หลายคนเลือกทำงานในห้องนอนแต่ถึงอย่างนั้นควรจัดสรรพื้นที่แยกกันอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้รู้สึกไม่กระฉับกระเฉง อยากพักผ่อนตลอดเวลา โดยพื้นที่ทำงานที่เป็นสัดส่วนจะช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้กระตือรือร้นมากขึ้นอีกด้วย

4. จัดเวลาทำงานให้เหมือนอยู่ออฟฟิศ

ปัญหาใหญ่ที่หลายคนเจอคือเมื่อทำงานที่บ้านแล้วใช้ชั่วโมงทำงานมากกว่าเดิมจนไม่มีเวลาพัก ทั้งที่จริงแล้วเราควรจัดสรรเวลาให้เหมือนตอนทำงานออฟฟิศ นั่นคือ มีเวลาเข้างาน มีเวลาพักเที่ยง และมีเวลาเลิกงานอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ทำงานหนักเกินไปและไม่ให้ร่างกายรู้สึกเครียด

5. พูดคุยกับคนในครอบครัวให้เข้าใจ

สำหรับใครที่อาศัยในครอบครัวใหญ่ บางครั้งเจอปัญหาคนในครอบครัวไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องทำงานที่บ้าน หรือบางครั้งคนในบ้านรบกวนเวลาทำงาน ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการสื่อสารกับคนในบ้านให้เข้าใจว่าเวลาทำงานกี่โมง หรือมีวันใดบ้างที่มีประชุมและต้องการความเงียบมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวส่งเสียงรบกวน การทำงานก็จะมีสมาธิมากขึ้น

เพียงทำตาม 5 ข้อนี้ เชื่อได้เลยว่าการทำงานจากบ้านจะมีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสำหรับใครที่อาจรู้สึกเหงาเพราะการทำงานจากบ้านทำให้ไม่ได้พบปะผู้คน แนะนำว่าให้หาเวลาออกไปเจอเพื่อนร่วมงานบ้าง โดยอาจนัดกันไปทำงานนอกสถานที่สัปดาห์ละ 1-2 วัน นอกจากทำให้ไม่รู้สึกเบื่อกับการนั่งทำงานคนเดียวแล้วยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้สึกเบื่อแถมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

Work from Home – ทำงานที่บ้านอย่างไร ให้ได้ประสิทธิภาพ

Work from Home - ทำงานที่บ้านอย่างไร ให้ได้ประสิทธิภาพ

หลังจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นเวลากว่า 2 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจในวงกว้าง คนทั่วทั้งโลกต่างต้องกักตัวในบ้านหรือที่พักอาศัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จึงต้องปรับตัวมาทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home (WFH) จนแม้ในเวลานี้ที่ความรุนแรงของโควิด-19 จะดูลดลงไปมากแล้ว แต่ในหลายองค์กรทั้งรัฐและเอกชนยังให้พนักงานทำงานที่บ้านในบางวันอยู่

การทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home มีข้อดีทั้งต่อองค์กรนายจ้างเองที่สามารถลดต้นทุนค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ส่วนพนักงานลูกจ้างก็จะสามารถบริหารเวลาตัวเองให้มีมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปออฟฟิศ

แต่การทำงานที่บ้านก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน ในกรณีที่ว่าด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวงาน ไม่มีหัวหน้าคอยดูแล ไม่มีเพื่อนร่วมงานให้ปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะมี รวมไปถึงการที่คนทำงานที่บ้านต้องมีวินัยเพิ่มมากขึ้น เพราะการอยู่บ้านก็มีสิ่งรบกวนใจได้ไม่น้อย 

วิธีการทำงานที่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อมีอิสระมากขึ้น ก็อย่าให้วินัยลดลง

เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนทำงานที่บ้าน เพราะเราต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ไม่มีการตอกบัตรเข้างาน ไม่มีเวลาเบรกที่แน่นอน ไม่มีผู้บังคับบัญชาคอยดูแล ไม่มีเวลาเริ่มงานหรือเลิกงานเป๊ะ ๆ เหมือนเวลาไปทำงานที่ออฟฟิศ สิ่งเหล่านี้อาจจะให้เราตื่นสายกว่าปกติ ขี้เกียจกว่าเดิม เผลอไปเล่นเกมหรือช้อปปิ้งออนไลน์บ่อยเกินไป

ดังนั้น ควรต้องพึงตระหนักเรื่องของวินัยให้มากและบังคับตัวเองให้ได้

อุปกรณ์พร้อม สัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียร แอปพลิเคชันครบ

ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานมาจากคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ ดังนั้นหากจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน เราก็ควรจะมีพร้อมซึ่งเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ให้เหมือนหรือใกล้เคียงกันกับตอนทำงานที่สำนักงาน อาทิ คอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ ซอฟต์แวร์ที่จำเป็น รวมถึงแอปพลิเคชันสำหรับการ Work from Home การประชุมออนไลน์ หรือไฟล์ข้อมูลที่จำเป็นต่องาน ที่สำคัญที่สุดก็คือ สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เพียงพอสำหรับการทำงาน

เหล่านี้เป็นต้นทุนของผู้ปฏิบัติงานที่จำเป็นต้องมี เพื่อรองรับการทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวก ไม่ติดขัด

ถึงอยู่บ้าน ก็ไม่ได้แปลว่าว่างตลอด

สำหรับเจ้านาย หัวหน้านาย ผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา ที่ Work from Home ก็ต้องพึงระลึกไว้เหมือนกันว่า ลูกน้องของเราที่ทำงานที่บ้านก็มีเวลาเริ่มงานและเลิกงานเป็นปกติ บางทีอาจจะเผลอส่งไลน์ถามหรือทวงงานไปในเวลาที่ไม่เหมาะสม ถ้าส่งไปในลักษณะความประสงค์จะทิ้งข้อความไว้ก็แนะนำให้ส่งเป็นอีเมลดีกว่า เพราะนอกจากทำแบบนั้นจะไม่ได้งานที่ดีแล้ว ยังจะเป็นการทำให้ความสันพันธ์ระหว่างกันมีปัญหา

Work from Home เป็นวิถีชีวิตใหม่ปกติ (New Normal) จะมีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้ ในหลายสาขาวิชาชีพสามารถใช้จัดการงานต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางเข้าสำนักงานอีกแล้ว หากเพียงแต่เราสามารถสร้างงานที่มีคุณภาพได้จากการทำงานที่บ้าน ประสิทธิภาพงานเท่าเดิม ต้นทุนนายจ้างลดลง ลูกจ้างมีอิสระมากขึ้น มีเวลามากขึ้น ไม่เครียดกับปัญหาการจราจร แบบได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลย

บาลานซ์ชีวิตที่เหนือกว่าด้วยการทํางานที่บ้าน

บาลานซ์ชีวิตที่เหนือกว่าด้วยการทํางานที่บ้าน

อันที่จริงแล้ว รูปแบบการทำงานจากที่บ้านหรือ work from home นั้นมีมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ต้องถือว่าในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิดที่ผ่านมา ด้วยเหตุจำเป็นที่ต้องเว้นระยะห่าง ธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องปรับเปลี่ยนมาให้พนักงานทำงานจากที่บ้านกันครั้งใหญ่เลยทีเดียว และถึงแม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานที่ค่อนข้างจะกะทันหัน แต่ก็ดูเหมือนว่า ในที่สุดแล้วทุก ๆ คนก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับ work from home ได้ในที่สุด และที่มากไปกว่านั้นก็คือ ทั้งนายจ้างเอง รวมทั้งลูกจ้างพนักงาน ต่างก็ได้เล็งเห็นแล้วว่า การทำงานจากที่บ้านนั้น ก็สามารถสร้างผลลัพธ์งานที่มีประสิทธิภาพ ได้เช่นเดียวกับการนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศสำนักงาน

ด้วยประโยชน์และข้อดีที่มากมายสำหรับทั้งนายจ้าง พนักงาน เศรษฐกิจ และรวมถึงโลกใบนี้ ดังนั้นเรามาดูกันว่า work from home จะช่วยให้คุณบาลานซ์ชีวิตของคุณได้สมดุลขึ้นได้อย่างไร

1. การทำงานที่บ้านช่วยลดความเครียด เพราะคุณสามารถนำเวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางอันน่าเบื่อ โดยเฉพาะในช่วงเร่งรีบรถติดอย่างตอนเช้า ๆ เย็น ๆ มาใช้ออกกำลังกาย หรือจิบกาแฟร้อน ๆ ผ่อนคลายให้กับชีวิตส่วนตัวของคุณได้มากกว่า ลองนึกถึงว่า มันจะดีแค่ไหนที่คุณสามารถไปส่งเด็ก ๆ ที่โรงเรียนได้ด้วยตัวเอง แถมยังเหลือเวลามากพอที่จะมาเปิดวิดีโอออกกำลังกายตามครูฝึกอยู่ที่บ้าน ก่อนที่จะเริ่มทำงานตามเวลาเข้างานของสำนักงาน ชีวิตที่ง่ายกว่า รีบเร่งน้อยเช่นนี้ ช่างเป็นชีวิตที่เหมือนในฝันจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ

2. การทำงานที่บ้านช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และประหยัดได้มากจริงๆ ทั้งในส่วนของนายจ้าง และพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางสังคมต่างๆ ที่พ่วงมาจากชีวิตการทำงานในสำนักงาน สำหรับนายจ้างนั้น แน่นอนว่าการพนักงานที่ทำงานที่บ้านนั้น ย่อมช่วยประหยัดรายจ่ายหลายส่วนลงไปได้อย่างเห็น ๆ ทั้งในเรื่องของสถานที่ และรายจ่ายทางด้านสาธารณูปโภค ซึ่งโดยปกตินายจ้างต้องแบกรับสำหรับการเปิดสำนักงานในทุก ๆ วัน 

เหนือสิ่งอื่นใด work from home สามารถช่วยคุณบาลานซ์ชีวิตของคุณได้มากกว่า คุณจะสามารถมุ่งมั่นต่อการทำงาน ไปพร้อมๆ กับที่คุณจะได้มีเวลาสำหรับใส่ใจต่อสุขภาพ และดูแลครอบครัวของคุณได้มากกว่า ภายใต้การใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ไม่รีบเร่งนั้น ช่วยลดความเครียดและทำให้คุณมีจิตใจที่ผ่อนคลายมากกว่า ซึ่งจะส่งผลดีกับการทำงานด้วย เพราะจากรายงานวิจัยกล่าวว่า พนักงานที่มีระดับความเครียดน้อยกว่านั้น จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า นอกเหนือจากนั้น การเดินทางที่ลดลงยังช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โลกของเราก็จะน่าอยู่มากขึ้นไปด้วย ถูกใจสายกรีนแน่ ๆ  เห็นอย่างนี้แล้วก็มาร่วมกันเลือกทำงานที่บ้านกันเถอะ

ทำงานที่บ้านยังไงให้มีประสิทธิภาพ แถมสุขภาพไม่พัง

ทำงานที่บ้านยังไงให้มีประสิทธิภาพ แถมสุขภาพไม่พัง

หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด ทำให้หลายบริษัทปรับตัวและปรับรูปแบบการทำงาน และเริ่มมีแนวคิดให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ตามโอกาส หลายคนคงเห็นด้วยว่าการทำงานที่บ้านสร้างความสะดวกสบายในแง่ของการเดินทางได้เป็นอย่างดี แต่บางทีกลับมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะไม่สามารถบริหารการทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคนิคที่ทำให้การทำงานที่บ้านและส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยจึงต้องถูกนำมาปรับใช้ในชีวิตการทำงานของทุกคนมากขึ้น

  1. ลุกไปผ่อนคลายร่างกายและสายตาบ้าง

อย่านั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะทำงานที่บ้าน จึงไม่มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับใคร แถมไม่มีเพื่อร่วมงานชวนไปพักระหว่างวัน หลายคนจึงเผลอนั่งจ้องหน้าจอยาวติดต่อกันหลายชั่วโมง สิ่งนี้จะส่งผลให้รู้สึกปวดเมื่อย ตาล้า และอาจลงเอยที่การเป็นออฟฟิศซินโดรมในที่สุด ดังนั้นต้องหมั่นลุกออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง

  1. กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน

ควรมีการจัดตารางการทำงานให้ชัดเจน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะการไม่กำหนดเวลางาน อาจจะทำให้พนักงานมีโอกาสทำงานเกินเวลา หรือลืมเวลาพักจนไม่ได้รับประทานอาหารในเวลาที่เหมาะสมไปเลย ดังนั้นทุกคนต้องรู้จักเคารพกฎของตนเอง ด้วยการกำหนดเวลาเริ่มและเลิกงาน รวมถึงเวลาพักตามความเหมาะสม

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

อย่าอดน้ำระหว่างการทำงาน เพราะการประมวลผลของสมองต้องใช้น้ำเป็นองค์ประกอบ เพราะทำงานอยู่บ้าน ที่สามารถเดินไปห้องน้ำได้ตลอดเวลา แถมยังเป็นห้องน้ำที่บ้านที่เราไว้ใจที่สุดอีกด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำ แล้วดื่มน้ำเข้าไป นอกจากจะส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง ยังช่วยให้สดชื่น ทำให้ผิวสดใส ตาไม่แห้งอีกด้วย

  1. จัดพื้นที่การทำงานแยกออกไปจากพื้นที่ปกติ

อย่าทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ทพงานบนเตียง เพราะจะทำให้รู้สึกไม่สดใส แถมอาจจะส่งผลให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืน เพราะสมองเคยชินว่าต้องทำงานเวลาอยู่บนเตียง ควรแบ่งพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน จัดวางพื้นที่อย่างเรียบง่าย ทำให้รู้สึกสะดวกสบายในการทำงาน

  1. เตรียมตัวเหมือนออกไปทำงานที่ออฟฟิศ

ไม่ใช่ว่าทำงานที่บ้าน แล้วจะปล่อยตัวเองให้กระเซอะกระเซิง ไม่อาบน้ำ ไม่แต่งตัว ตลอดทั้งวันได้ เมื่อตื่นเช้าแล้ว ควรลุกออกไปอาบน้ำเตรียมตัวเหมือนจะต้องเดินทางไปออฟฟิศ เพราะจะทำให้รู้สึกสดใส ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมต่อการทำงานในแต่ละวัน ถ้ามีใครคอลมาเพื่อประชุมออนไลน์ จะได้รับสายได้ทันท่วงทีอีกด้วย

เทคนิคการดูแลสุขภาพขณะทำงานที่บ้านที่เอามาฝากในวันนี้สามารถทำตามได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปรับใช้กับวิถีชีวิตประจำวันตามที่คุณสะดวกได้เลย ขอให้จำไว้เสมอว่าสุขภาพร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทุกคนต้องให้ความใส่ใจและสร้างสุขนิสัยที่ดีให้กับตนเอง อย่าปล่อยออฟฟิศซินโดรมถามหาแล้วค่อยปรับพฤติกรรม เพราะถึงตอนนั้นอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คิดถึงจะหายป่วย

Work from Home – ทำงานที่บ้านอย่างไร ให้ได้ประสิทธิภาพ

Work from Home - ทำงานที่บ้านอย่างไร ให้ได้ประสิทธิภาพ

หลังจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นเวลากว่า 2 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจในวงกว้าง คนทั่วทั้งโลกต่างต้องกักตัวในบ้านหรือที่พักอาศัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จึงต้องปรับตัวมาทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home (WFH) จนแม้ในเวลานี้ที่ความรุนแรงของโควิด-19 จะดูลดลงไปมากแล้ว แต่ในหลายองค์กรทั้งรัฐและเอกชนยังให้พนักงานทำงานที่บ้านในบางวันอยู่

การทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home มีข้อดีทั้งต่อองค์กรนายจ้างเองที่สามารถลดต้นทุนค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ส่วนพนักงานลูกจ้างก็จะสามารถบริหารเวลาตัวเองให้มีมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปออฟฟิศ

แต่การทำงานที่บ้านก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน ในกรณีที่ว่าด้วยเรื่องประสิทธิภาพของตัวงาน ไม่มีหัวหน้าคอยดูแล ไม่มีเพื่อนร่วมงานให้ปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะมี รวมไปถึงการที่คนทำงานที่บ้านต้องมีวินัยเพิ่มมากขึ้น เพราะการอยู่บ้านก็มีสิ่งรบกวนใจได้ไม่น้อย 

วิธีการทำงานที่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อมีอิสระมากขึ้น ก็อย่าให้วินัยลดลง

เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนทำงานที่บ้าน เพราะเราต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ไม่มีการตอกบัตรเข้างาน ไม่มีเวลาเบรกที่แน่นอน ไม่มีผู้บังคับบัญชาคอยดูแล ไม่มีเวลาเริ่มงานหรือเลิกงานเป๊ะ ๆ เหมือนเวลาไปทำงานที่ออฟฟิศ สิ่งเหล่านี้อาจจะให้เราตื่นสายกว่าปกติ ขี้เกียจกว่าเดิม เผลอไปเล่นเกมหรือช้อปปิ้งออนไลน์บ่อยเกินไป

ดังนั้น ควรต้องพึงตระหนักเรื่องของวินัยให้มากและบังคับตัวเองให้ได้

อุปกรณ์พร้อม สัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียร แอปพลิเคชันครบ

ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานมาจากคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ ดังนั้นหากจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน เราก็ควรจะมีพร้อมซึ่งเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ให้เหมือนหรือใกล้เคียงกันกับตอนทำงานที่สำนักงาน อาทิ คอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ ซอฟต์แวร์ที่จำเป็น รวมถึงแอปพลิเคชันสำหรับการ Work from Home การประชุมออนไลน์ หรือไฟล์ข้อมูลที่จำเป็นต่องาน ที่สำคัญที่สุดก็คือ สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เพียงพอสำหรับการทำงาน

เหล่านี้เป็นต้นทุนของผู้ปฏิบัติงานที่จำเป็นต้องมี เพื่อรองรับการทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวก ไม่ติดขัด

ถึงอยู่บ้าน ก็ไม่ได้แปลว่าว่างตลอด

สำหรับเจ้านาย หัวหน้านาย ผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา ที่ Work from Home ก็ต้องพึงระลึกไว้เหมือนกันว่า ลูกน้องของเราที่ทำงานที่บ้านก็มีเวลาเริ่มงานและเลิกงานเป็นปกติ บางทีอาจจะเผลอส่งไลน์ถามหรือทวงงานไปในเวลาที่ไม่เหมาะสม ถ้าส่งไปในลักษณะความประสงค์จะทิ้งข้อความไว้ก็แนะนำให้ส่งเป็นอีเมลดีกว่า เพราะนอกจากทำแบบนั้นจะไม่ได้งานที่ดีแล้ว ยังจะเป็นการทำให้ความสันพันธ์ระหว่างกันมีปัญหา

Work from Home เป็นวิถีชีวิตใหม่ปกติ (New Normal) จะมีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้ ในหลายสาขาวิชาชีพสามารถใช้จัดการงานต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางเข้าสำนักงานอีกแล้ว หากเพียงแต่เราสามารถสร้างงานที่มีคุณภาพได้จากการทำงานที่บ้าน ประสิทธิภาพงานเท่าเดิม ต้นทุนนายจ้างลดลง ลูกจ้างมีอิสระมากขึ้น มีเวลามากขึ้น ไม่เครียดกับปัญหาการจราจร แบบได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลยและเรายังจะมีเวลาหางานเสริมจากที่อื่นเอามาทำเพื่อสร้างรายได้เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่าการเขียนบทความ อาจจะเป็นบทความเกี่ยวกับเว็บบอลออนไลน์ ในรายละเอียดเนื้อหาอาจจะมี ผลบอลเมื่อคืน สถิการเจอกัน ฯลฯ 

เพิ่มประสิทธิภาพให้การ ทำงานที่บ้าน ด้วย 5 วิธีเด็ด

Work from home

จากสถานการณ์โรคระบาดทำให้การทำงานปรับเปลี่ยนมาในรูปแบบ Work from home (ทำงานที่บ้าน) และต่อด้วย Work from everywhere (ทุกที่คือที่ทำงาน) ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้สามารถทำให้งานดำเนินไปได้แบบไม่ติดขัด แต่ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งไม่เพียงแค่ได้รับความร่วมมือของคนในองค์กรเท่านั้น แต่ตัวของบผู้ทำงานจะต้องกระตุ้นตัวเอง เพื่อให้งานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปฏิบัติตัวจากเทคนิคที่เรากำลังจะกล่าว ดังนี้

แต่งตัวให้เหมือนตอนที่ทำงานในออฟฟิศ สำหรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานนี้เชื่อว่าเป็นโอกาสอันดีของคนทำงานที่จะไม่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อนั่งรถไปทำงาน แต่ก็ใช่ว่าคุณจะไม่ลุกจากที่นอนเลย เมื่อถึงเวลาก็ทำงานทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ เพื่อกระตุ้นและสร้างความกระฉับกระเฉง คุณต้องแต่งตัวให้เหมือนว่ากำลังทำงานในออฟฟิศ

กำหนดเวลาทำงานและเวลาพักให้ตายตัว การ ทำงานที่บ้าน ข้อดีคือไม่มีใครมาบังคับหรือควบคุม แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำงานตอนไหนก็ได้ เพราะต้องมีการกำหนดเวลาส่งงานที่ชัดเจน ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ทำเช่นนั้น เพื่อให้งานดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นและเป็นการทำให้รู้ว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกคนยังคงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำงานอย่างมีเป้าหมาย เมื่อคุณปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานมาเป็น Work from home จะต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ให้องค์กรเห็น ในทุก ๆ วันงานจึงต้องเสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน

คุยและประสานงานเสมอ แม้ว่าคุณจะทำงานแบบไม่มีเพื่อนร่วมงาน แต่เพื่อให้การทำงานดำเนินไปอย่างไม่ติดปัญหาและนี่ทำให้บรรยากาศเหมือนที่ทำงาน

เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เพราะการทำงานแบบ Work from home ต้องอาศัยการประชุมบ่อยครั้ง เพื่อดูความคืบหน้าและทราบถึงปัญหา ฉะนั้นคุณจึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของงานและการแต่งตัวและอย่าลืมเตรียมเครื่องมือสื่อสารทุกช่องทางต้องพร้อม ด้วยความที่คุณทำงานที่บ้าน ไม่ได้พบปะเพื่อนร่วมงานไม่ว่าจะเป็นมือถือ อีเมล์และแอปพลิเคชันที่ใช้ในการพูดคุยกันจำเป็นต้องได้รับตอบรับจากคุณโดยเร็ว

เราเชื่อว่าการที่ได้ทำงานอยู่ที่บ้านของตัวเอง ทุกคนรู้สึกแฮปปี้ สิ่งนี้ที่เราเชื่อว่าจะทำให้งานออกมาดี แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความรับผิดชอบที่ต้องมีเสมอ ไม่ว่าจะทำงานในรูปแบบใดก็ตาม โดยเฉพาะการ ทำงานที่บ้าน ต้องมีสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เพราะด้วยความที่คุณทำงานในพื้นที่ของตัวเอง ไม่มีเจ้านายหรือหัวหน้ามาควบคุม จึงมีระเบียบวินัย เพื่อพิสูจน์ให้องค์กรเห็นว่าคุณมีประสิทธิภาพในการทำงานมากพอและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการทำงานโดยที่ไม่กระทบกับหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ

เทคนิคที่ช่วยให้การทำงานที่บ้านเป็นเรื่องง่าย

เทคนิคที่ช่วยให้การทำงานที่บ้านเป็นเรื่องง่าย

เชื่อว่าในช่วง Work from home หลายคนคงเจอปัญหาการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม ปัญหาหลักเกิดจากบรรยากาศในการทำงานที่เปลี่ยนไป และขาดสังคมการทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลง บางคนถึงขั้นต้องลาออก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงโควิด – 19 เพราะไม่สามารถรับมือกับรูปแบบงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเราจะมาดูกันว่า มีเทคนิคอะไรบ้างที่ช่วยให้การทำงานที่บ้าน มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

1.จัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนที่ทำงาน

การทำงานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปจากเดิม เป็นเรื่องยากที่จะทำงาน เพราะบ้านคือสถานที่พักผ่อน อีกทั้งสมาชิกภายในบ้านหลายคน ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่า ที่กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ คือการทำงาน ไม่ใช่นั่งอยู่เฉย ๆ อย่างที่เข้าใจกัน ดังนั้นเราต้องจัดพื้นที่สำหรับทำงาน ให้เหมือนกับอยู่ในออฟฟิศ เช่น นั่งทำงานในห้อง ที่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีเสียงดังรบกวน ติดแอร์ รวมทั้งเพิ่มโต๊ะและเก้าอี้ออฟฟิศ เข้าไปในห้อง เพื่อให้ท่าทางการทำงานเหมาะสมที่สุด

2.ทำงานเหมือนอยู่ในเวลาออฟฟิศ

เวลาทำงานอยู่บ้าน เรามักละเลยวินัยในการทำงาน ทำให้เกิดอารมณ์อยากทำสิ่งอื่นนอกเหนือเรื่องงาน เช่น พูดคุยกับคนในครอบครัว นั่งดูหนัง หรือไปเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ทำให้งานที่ได้รับมอบหมาย ไม่สามารถจัดการได้เสร็จในเวลาที่กำหนด เกิดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ส่งผลต่อการประเมินประสิทธิภาพของการทำงาน ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้น เราต้องกำหนดเวลาการทำงานที่บ้านให้เหมือนกับอยู่ในออฟฟิศ เช่น หากเวลาออฟฟิศคือ 10.00 – 18.00 เราก็ควรเริ่มงาน และเลิกงานในเวลาที่กำหนดนี้เท่านั้น ตั้งเป้าต่อตัวเองว่าระหว่างนี้จะไม่ว่อกแว่กสนใจสิ่งอื่น และควรตื่นนอนก่อนเวลา 10.00 น. ด้วยเช่นกัน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มงานในแต่ละวัน เหมือนที่เคยทำในที่ทำงานนั่นเอง

3.พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน

ปัญหาของการทำงานที่บ้านคือ ไม่เห็นลักษณะการทำงานของแต่ละคน ทำให้การติดตามงานเป็นเรื่องยาก บางครั้งเมื่อประชุมงานผ่านทาง Zoom อาจเกิดความผิดพลาด ในการทำความเข้าใจงานระหว่างกันได้ การทำงานที่บ้านจึงควรเพิ่มการสื่อสารให้มากกว่าเดิม เพื่อให้ทีมมีความเข้าใจตัวงานทั้งหมด และที่สำคัญคือ การทำงานที่บ้านจะมีความเครียดมากกว่าเดิม เพื่อนร่วมงานบางคนไม่สามารถจัดการสภาพแวดล้อมการทำงานให้ดีได้ การพูดคุยที่มากขึ้นจะช่วยระบายความเครียดได้ด้วย

4.พักบ้างเมื่อมีโอกาส

การ Work from home ที่ทำงานอาจสั่งงานมากกว่าทำงานที่ออฟฟิศ ทำให้เวลาทำงานปกติอาจล่วงเลยไปถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน การจัดสรรเวลาให้มีการพักระหว่างวันจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดียิ่งขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรให้เวลาพักผ่อนแก่ตนเองด้วย เพื่อไม่ให้เครียดมากจนเกินไป เห็นได้ว่าหากนำทั้ง 4 เทคนิคนี้มาใช้ในการทำงานที่บ้าน จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นอย่างแน่นอน

ทำงานที่บ้านกับทำงานที่ออฟฟิศ แบบไหนได้งานมากกว่ากัน

ทำงานที่บ้านกับทำงานที่ออฟฟิศ แบบไหนได้งานมากกว่ากัน

การ Work from home ทำให้หลายคนติดใจการทำงานที่บ้าน แต่เมื่อต้องกลับมาทำงานประจำที่ออฟฟิศก็ทำให้ต้องมีการปรับตัวกันค่อนข้างมากเหมือนกัน ทำให้หัวหน้างานหลายคนเกิดความลังเลว่าการทำงานที่บ้านกับการทำงานที่ออฟฟิศ แบบไหนจะได้งานมากกว่ากัน ซึ่งทั้ง 2 แบบ ก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

การทำงานที่บ้าน (Work from home)

ข้อดี

1. พนักงานมีสมาธิในการทำงานและมีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น

2. การประสานงานหรือการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานดีขึ้นในมุมของความไม่เป็นทางการ

3. การทำงานมีความยืดหยุ่นให้เหมาะกับ Lifestyle

4. พนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น

5. ลดอัตราการลางานและการลาออกจากงาน

ข้อเสีย

1. เป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต

2. บางครั้งมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตขณะมีการประชุม

3. หากมีปัจจัยรบกวนที่บ้านอาจทำให้การทำงานไม่ราบรื่น

การทำงานที่ออฟฟิศ (Work at office)

ข้อดี

1. สภาพแวดล้อมในออฟฟิศกระตุ้นให้เราอยากทำงาน

2. มีทรัพยากรขององค์กรที่ช่วยสนับสนุนการทำงานอย่างครบถ้วน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ

3. สามารถประสานงาน และติดต่อกันได้แบบ Face to face ที่บางครั้งทำให้สื่อสารได้เข้าใจง่ายกว่าการติดต่อทางออนไลน์

4. สามารถจัดการประชุม หรือจัด KM (Knowledge Management) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการจัดในรูปแบบออนไลน์

ข้อเสีย

1. ในองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดีจะทำให้พนักงานไม่อยากทำงาน ส่งผลให้ผลงานออกมาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

2. พนักงานต้องเสียเวลาในการเดินทางไป – กลับ จากที่อาศัยไปที่ทำงาน

3. มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น

4. การทำงานมักมีการกดดันมากกว่าทำให้พนักงานมีความเครียดได้ง่ายกว่า

5. การทำงานไม่ยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับให้ตรงกับ Lifestyle ของตนเองได้เท่าที่ควร

หากถามว่าทำงานที่บ้านกับทำงานที่ออฟฟิศ แบบไหนได้งานมากกว่ากัน คงต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของการและการกำหนดดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงาน หรือ KPI (Key Performance Indicator) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับมาตรฐานหรือเป้าหมายของงานตามที่ตกลงกันไว้ ในบางองค์กรไม่ว่าจะทำงานที่บ้านหรือทำงานที่ออฟฟิศก็อาจได้ผลลัพธ์ในการทำงานที่ไม่แตกต่างกัน เพราะมีการกำหนดตัวชี้วัดที่มีคุณภาพ ทำให้ไม่ว่าพนักงานจะทำงานที่ไหนก็ตาม ผลลัพธ์หรือเป้าหมายขององค์กรก็ยังจะต้องสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เช่นเดิม

จะเห็นได้ว่าทั้งการทำงานที่บ้านหรือที่ทำงานก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งในมุมหัวหน้างานนั้นอาจต้องพิจารณารูปแบบของงานและลักษณะนิสัยของลูกน้องร่วมด้วย เพื่อให้ได้งานออกมาที่มี Output และ Outcome ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้