วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

วิธีขจัดอุปสรรคเพื่อให้ทำงานที่บ้านได้ผลดี

หลายคนเริ่มทำงานจากที่บ้านมาพักใหญ่แล้ว แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมายเลยเพราะมีอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวนของลูก ๆ การทำงานบ้านที่ไม่จบไม่สิ้น หรือสัตว์เลี้ยงตัวป่วนป้วนเปี้ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เสียสมาธิ วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้คือการปรับสภาพพื้นที่ทำงานให้มีสภาพแวดล้อมแบบโฮมออฟฟิศที่ช่วยให้ได้ทำงานจริง ๆ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับทำงานที่บ้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จกัน

1.เริ่มต้นตื่นแต่เช้า ก่อนหน้านี้เคยเดินทางไปออฟฟิศอย่างไร ควรตื่นตอนเช้าให้รู้สึกเหมือนพร้อมจะไปทำงาน กำหนดรายการสิ่งที่ต้องทำ แล้วเริ่มทำงานทันทีที่ตื่นนอน เราทำอะไรได้มากมายในช่วงเช้าตรู่ เริ่มจับงานชิ้นแรกแล้วทยอยทำไปทีละอย่างตลอดทั้งวัน การตื่นสายยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจะทำให้แรงจูงใจหมดไป และอาจเปลี่ยนใจจากคอมพิวเตอร์มาที่หมอนแทน

2.จัดตารางเวลาทำงานที่บ้านเหมือนที่ทำในสำนักงาน การทำงานไปเรื่อยแบบไม่มีเป้าหมายอาจหมดไฟหรือเสียสมาธิไปกับอย่างอื่นได้ง่าย ควรวางแผนว่าเวลาไหนควรทำงาน หยุดพักตอนไหน และทำให้เสร็จตามกำหนด วิธีการหยุดพักควรหยุดจริง ๆ ลุกออกจากโต๊ะทำงานไปเดินเล่นข้างนอกหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในบ้าน ไม่ควรเปิด YouTube ดูคลิปหรือใช้โซเชียลมีเดีย

3.การทำงานจากที่บ้านไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่กับบ้าน ถ้าในบ้านมีเสียงดังและสิ่งรบกวน เปลี่ยนเป็นโฮมออฟฟิศไม่ได้จริง ๆ ลองมองห้องสมุด ร้านกาแฟ หรือหรือสถานประกอบการอื่น ๆ ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi เพื่อใช้เป็นออฟฟิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเงียบช่วยให้ทำงานได้ดีกว่า ควรจัดพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะและเป็นสัดส่วนเพื่อให้ตั้งใจทำงานจริงจัง ช่วยให้มีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.ตั้งเป้าหมายไม่ยุ่งกับ Facebook, Line และโซเชียลมีเดียในระหว่างทำงาน ถึงจะเปิดดูเพียงสองสามนาทีแม้ไม่เสียเวลามากแต่ก็ทำให้เสียสมาธิในการทำงานโดยไม่รู้ตัว และส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ควรกำหนดเวลาการเข้าเช็คอีเมลและลบการแจ้งเตือนอัตโนมัติ

5.เลือกเวลาที่ทำงานแล้วมีประสิทธิผลสูงสุด เมื่อทำงานที่บ้าน แน่นอนว่าไม่มีใครกำหนดเวลาทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนเรามีเวลาที่พร้อมทำงานแตกต่างกัน ควรใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ได้ประสิทธิผลมากที่สุด หากตอนเช้าวุ่นวายกับการส่งลูกไปโรงเรียนและงานบ้านอื่น ๆ จนเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง แนะนำให้ทำภารกิจทุกอย่างให้เสร็จ ดื่มชาหรือกาแฟให้ตื่นตัวและตั้งสมาธิให้ดี จากนั้นจึงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่

6.จดจ่อกับสิ่งที่ทำ เรียนรู้วิธีจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าไขว้เขวเพราะจะทำให้เสียเวลาและเสียแรงทำงานมากขึ้น หากทำได้ตามคำแนะนำ คุณจะพบว่าสามารถทำงานเสร็จเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ในการทำงานทุกอย่างจะต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะทำงานอะไรบ้าง มีวินัยกับแผนงาน ยืดหยุ่นได้ตามต้องการแต่จะต้องไม่บ่อยนัก แนะนำให้ทำปฏิทินออนไลน์และแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลา ซึ่งจะช่วยให้บริหารจัดการเวลาทำงานที่บ้านง่ายขึ้น

เทคนิคทำงานที่บ้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

เทคนิคทำงานที่บ้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

ทุกวันนี้การทำงานที่บ้านเป็นทางเลือกที่สะดวกและยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ก็ถือเป็นการประหยัดเวลาเดินทางซึ่งน่าจะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าผลงานกลับลดน้อย เนื่องจากขาดสมาธิและแรงจูงใจในการทำงาน มีสิ่งรบกวนเข้ามาแทรกตลอดเวลา อีกทั้งขาดการวางแผนอย่างเหมาะสมด้วย ไม่เพียงประสิทธิภาพลดลงเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ใช้เวลาทำงานมากกว่าเดิม ใครพบปัญหาในลักษณะนี้เรามีเคล็ดลับการทำงานที่บ้านที่ทำตามได้ง่าย ๆ มาฝากกันดังนี้

1.เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันทำงานตามปกติ แต่งชุดสุภาพเพื่อกระตุ้นสมองให้มีความกระตือรือร้นในการทำงาน แต่ไม่ถึงกับสวมเสื้อผ้าเป็นทางการ การทำงานที่บ้านมีข้อดีตรงที่มีความอิสระแต่ใช่ว่าจะสวมอะไรก็ได้ ถ้าเป็นกางเกงขาสั้นหรือชุดนอนยิ่งไม่เหมาะสม การทำตัวตามสบายเกินไปทำให้ขาดแรงจูงใจอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ถ้าบ้านเป็นโฮมออฟฟิศอาจมีลูกค้าติดต่อขอเข้ามาพบ อาบน้ำสวมชุดให้ดูเรียบร้อยจะได้ไม่เสียเวลาแต่งตัวใหม่

2.เลือกโฮมออฟฟิศที่เหมาะสม ซื้อและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ถือเป็นต้นทุนที่ช่วยให้โฟกัสกับงานได้เต็มที่และผลงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดห้องทำงานต้องไม่มีเตียงหรือโซฟา ไม่มีโทรทัศน์เป็นสิ่งล่อใจให้เสียสมาธิ การจัดเตรียมสภาพแวดล้อมแบบสำนักงาน มีห้องทำงานหรือโต๊ะทำงานที่มุมห้องซึ่งแยกเป็นสัดส่วนจากพื้นที่อื่น ๆ ในบ้าน ถ้าเป็นไปได้ควรเป็นมุมที่มีหน้าต่างรับแสงแดดธรรมชาติและมีเก้าอี้นั่งสบายได้ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่รู้สึกเมื่อยล้า

3.จัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีคุณภาพ การทำงานจากบ้านมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคืออิสระในการทำงานตามเวลาที่สะดวก แต่ถ้าอุปกรณ์ไม่ดี อีกทั้งสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่เสถียรหรือระบบล้าสมัย ก็จะทำให้หงุดหงิด การทำงานไม่ราบรื่น หรืออาจพลาดงานครั้งสำคัญไป จึงต้องศึกษาข้อมูลและเลือกระบบที่เหมาะสมและราคาไม่แพง ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานได้มากขึ้น

4.กำหนดตารางเวลาให้เหมาะสมวันละ 8 ชั่วโมง การทำงานที่บ้านเป็นช่วงเวลาอิสระ ถ้าจิตใจจดจ่ออยู่กับงาน อาจไม่รู้ว่าเลยเวลาผ่านไปนานเท่าไร การทำงานเกินเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะกลายเป็นคนบ้างาน เกิดความเครียดและร่างกายอ่อนล้าซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ วิธีที่ดีคือกำหนดชั่วโมงทำงานอย่างเหมาะสมและไม่หักโหมเกินไป ถ้ามีงานกองโตต้องทำให้เสร็จ แนะนำให้ต่อรองขยายเวลาส่งงานไปอย่างน้อย 1 วันเพื่อให้ทำงานได้เสร็จและมีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน เมื่อเลือกทำงานที่บ้านควรกำหนดชั่วโมงการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสมดุลกับชีวิตส่วนตัว ถ้ามีนิสัยทำงานเพลินจนลืมเวลา ก็ควรตั้งนาฬิกาจับเวลาและทำงานอย่างทุ่มเทตั้งใจ มีช่วงพักเบรกเพื่อพักผ่อนสายตาเป็นระยะ หยุดได้ทันทีเมื่อถึงเวลาเลิกงาน

5.วางแผนการทำงานให้เรียบร้อย ติดตามความคืบหน้าว่าใช้เวลาทุกชั่วโมงในแต่ละวันอย่างไรเพื่อประเมินประสิทธิภาพและรู้ว่าเสียงานไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง จัดลำดับความสำคัญว่างานใดสำคัญกว่าหรือมีกำหนดส่งก่อนให้เร่งทำให้เสร็จก่อน ทำงานเสร็จแล้วควรกินให้ตรงเวลา นอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง รับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงเพื่อให้ร่างกายมีพลังและกระปรี้กระเปร่า

การทำงานที่บ้านให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด จึงขึ้นอยู่กับการจัดสภาพแวดล้อมให้พร้อมกับการทำงาน รวมไปถึงการบริหารเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีสมาธิในการทำงานได้อย่างเต็มที่

3 วิธีทำงานที่บ้าน งานดี สุขภาพจิตแจ่มใส

3 วิธีทำงานที่บ้าน งานดี สุขภาพจิตแจ่มใส สุขภาพกายแข็งแรง

นโยบายทำงานที่บ้าน หรือเวิร์คฟอร์มโฮม (Work from home) เป็นระบบการทำงานแบบชีวิตวิถีใหม่ เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสCOVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วทุกมุมโลก หลายบริษัทฯเชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดลงได้ ซึ่งจำเป็นต้องปรับตัวอย่างทันทีทั้งองค์กรและคนทำงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเรามีแนวทางเตรียมพร้อมในการทำงานที่บ้านแบบเวิร์คฟอร์มโฮมมาแนะนำให้ลองนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสม ดังนี้

ปรับทัศนคติให้เป็นเชิงบวก

การคิดบวกหรือการมองโลกในแง่ดี จะทำให้เราได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเอง แม้จะไม่สะดวกเหมือนการทำงานที่ออฟฟิศ แต่ข้อดีคือการได้มีเวลาอยู่บ้านกับครอบครัวมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาไปกับรถติดและการเดินทางไปทำงานครั้งละหลายชั่วโมง และยังมีเวลาว่างเล่นกับลูก ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา มีเวลาทำภารกิจส่วนตัวมากขึ้น และได้มีเวลาใกล้ชิดผู้สูงอายุในครอบครัวอีกด้วย ที่สำคัญเราต้องกำหนดเป้าหมายการทำงานให้ชัดเจน โดยวางแผนว่าในแต่ละวันเรามีงานกี่ชิ้นและช่วงเวลาไหนต้องทำอะไร ช่วยให้งานสำเร็จตามแผนงาน และสร้างวินัยในการทำงานไปในตัวด้วย

เตรียมอุปกรณ์และระบบอินเทอร์เน็ตให้พร้อม

โดยเฉพาะการติดต่องานกับบุคคลภายนอกและการประชุมเป็นหลัก ซึ่งจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสารออนไลน์ (Online Communication Platform) เช่น Zoom และ Google Hangout เป็นต้น โดยมีการทดสอบความพร้อมของอุปกรณ์และเครือข่ายก่อนที่จะใช้งานจริง และควรทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวว่า เราต้องทำงานที่บ้านเพื่อป้องกันปัญหาการรบกวนในระหว่างชั่วโมงการทำงานที่เร่งด่วน และสามารถวางแผนการทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

จัดโต๊ะทำงานให้กลายเป็นมุมทำงานอย่างมีสมาธิ

และช่วยให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่บ้าน โดยแยกออกจากพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจภายในบ้าน ตกแต่งมุมทำงานเพื่อให้บรรยากาศรื่นรมย์และสะดวกต่อการนั่งทำงานในชั่วโมงเร่งด่วน และเริ่มต้นเช้าวันใหม่ของการทำงานด้วยอาหารเช้าที่มีคุณภาพครบ 5 หมู่ เสริมด้วยเมนูน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้ง ซึ่งวิตามินซีจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยหลังจากเสร็จภารกิจการทำงานในแต่ละวัน ควรหาเวลาอาบน้ำอุ่นหรือแช่เท้าลงในน้ำอุ่นประมาณ 20-30 นาที ก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี

นอกจากนี้คุณจำเป็นต้องดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำสะอาดในปริมาณเพียงพอวันละ 2-3 ลิตร และควรจัดตารางเวลาทำสมาธิก่อนนอน ประมาณ 15-20 นาที เพราะสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความดันโลหิตและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

work from home แบบมืออาชีพ

work from home แบบมืออาชีพ

การทำงานที่บ้านถือว่าเป็นวิถีชีวิตใหม่ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด โดยคนในวัยทำงาน ช่วงอายุ 20-60 ปี ต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีและการปรับเปลี่ยนตารางชีวิต เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้างกับการทำงานในบ้านตัวเองแบบมืออาชีพ

กำหนดช่วงตื่นนอนที่ชัดเจน

การทำงานจากที่บ้านนั้น ไม่ควรที่จะเผลอไผลกับการใช้เวลานอนมากขึ้น จนตื่นสายหรือทำให้กลายเป็นคนขี้เกียจทำงานไป ควรตั้งเวลานาฬิกาปลุกเอาไว้เช่นเดียวกับการที่คุณต้องไปทำงานข้างนอก แต่จะไม่ต้องเผื่อเวลาสำหรับการเดินทาง เช่น ปกติเคยตื่นตีห้าก็กลายเป็นตื่นหกโมงเช้าแทน แล้วก็พยายามทำให้ตัวเองสดชื่นแจ่มใสสำหรับการทำงานเช่นเดียวกับภาวะปกติ

อาบน้ำแต่งตัวให้พร้อมกับการทำงาน

แม้ว่าคุณจะไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก แต่คุณไม่ควรจะอยู่ในชุดนอนตลอดทั้งวัน ต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เพื่อสร้างความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สำหรับผู้หญิงบางคนก็อาจจะแต่งหน้าเพื่อเสริมความสดชื่นแจ่มใสให้กับชีวิตประจำวันด้วย

บันทึกและลำดับสิ่งที่ต้องทำ

ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้านหรือว่าทำงานในออฟฟิศ คุณต้องไล่เลียงว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง สิ่งใดสำคัญต้องรีบส่งเจ้านาย สิ่งใดรอได้ ฯลฯ เพื่อไม่ให้ขาดตกหล่นในเนื้องานจนทำให้เกิดความผิดพลาดต่อการทำงานในองค์กรได้ ที่สำคัญคือ จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่างานจะไม่เสร็จหรือจะเสร็จล่าช้า หากมีความขี้เกียจเข้ามาแทรกจนทำให้ไม่เป็นอันทำงานด้วย

ใช้เทคนิคสื่อสารออนไลน์ทางโทรศัพท์

การใช้งานผ่านระบบวิดีโอ ด้วยโปรแกรมที่เรียกว่าซูม Zoom เป็นสิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ในปัจจุบันมากขึ้น บางคนอาจจะใช้งานผ่านระบบ Line หรือ Google Hangout เป็นการประชุมงานหรือแสดงความคิดเห็นร่วมกันระหว่างทีมงานก็ได้ ที่สำคัญคือ คุณต้องไม่อยู่คนเดียวนานเกินไปจนทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายและขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้เครียดหรือเป็นภาวะซึมเศร้าตามมาได้ง่าย

จัดสภาพแวดล้อมให้มีความสดชื่น

สภาพแวดล้อมในบ้านบางคนอาจมีข้าวของกระจัดกระจาย ควรใช้โอกาสนี้ทำความสะอาดบ้านและจัดโต๊ะสำหรับนั่งทำงานให้เรียบร้อย หากห้องของคุณเป็นแบบสตูดิโอ ก็ควรจัดพื้นที่ในการทำงานที่แยกออกมาให้ชัดเจน ไม่ควรทำงานบนที่นอน

การทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home นั้น เป็นสิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้อย่างมืออาชีพเพื่อการปรับตัวได้ดี และไม่ว่าระยะเวลาของการเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้จะนานแค่ไหน ถ้าคุณปรับตัวได้ คุณก็จะไม่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ และยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิมด้วย

แนวคิดทำงานผ่านออนไลน์ ที่คนทำงานที่บ้านควรรู้ไว้

แนวคิดทำงานผ่านออนไลน์ ที่คนทำงานที่บ้านควรรู้ไว้

แนวคิดทำงานผ่านออนไลน์ ที่คนทำงานที่บ้านควรรู้ไว้

ปัจจุบันสามารถทำงานที่บ้านได้แล้ว โดยการใช้ทักษะด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการเขียน การใช้ภาษา การวาดและออกแบบกราฟิก ถ่ายรูป การทำวิดีโอ การพูดหรือการใช้เสียง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกแนวความคิดสำหรับคนทำงานที่บ้าน เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องก่อนทำงานออนไลน์ เพื่อช่วยให้มีรายได้ดีขึ้น ดังต่อไปนี้

แนวความคิดที่ 1 ทักษะออนไลน์เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้
หลายคนคิดว่า ความรู้ความสามารถจะต้องเป็นคนมีพรสวรรค์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทุกคนเกิดมามีความรู้ความสามารถเท่ากันเลย ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด สังเกตได้จากเด็กเล็กจนเจริญเติบโต ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็ต้องผ่านการฝึกฝน และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเก่งทักษะด้านไหน มีทางเดียว คือ การฝึกฝน ด้วยการเริ่มต้นพิมพ์ค้นหาใน Google ในด้านที่คุณต้องการจะฝึก เช่น พิมพ์คำว่า ทักษะการเขียนบทความ เมื่อค้นหาแล้วจะเจอเว็บไซต์ซึ่งมีทั้งคลิปและบทความดี ๆ มากมาย ที่สอนเกี่ยวกับการเขียนบทความ

แนวความคิดที่ 2 ฝึกให้มีทักษะอย่างหลากหลาย
การฝึกหลายทักษะเป็นการสร้างความแตกต่างจากคนอื่น เมื่อมีความแตกต่างก็จะมีความสามารถหรือสร้างคุณค่าที่มากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปด้วย เช่น หากคุณมีทักษะทางด้านภาษา 2 ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในการทำวิดีโอหรือทำคลิปลงยูทูป ก็จะช่วยให้คุณได้รับรายได้ทั้งสองทาง ในทางตรงข้าม หากคุณทำคลิปภาษาไทยเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้คุณได้รับรายได้ทางเดียว

แนวความคิดที่ 3 ความไว้ใจจากผู้คนหรือผู้ติดตามในโลกออนไลน์
การอยู่ที่บ้าน ก็สามารถทำให้ผู้คนในโลกทางออนไลน์รู้จักคุณได้ กรณีที่ไม่มีใครรู้จักเลย หากต้องการขายอะไรบางอย่างในโลกออนไลน์ โอกาสการมีรายได้ก็จะยากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีหลักการที่ทำให้ผู้คนได้รู้จัก คือ การแบ่งปันความรู้ไปให้ผู้อื่น หมายความว่า หากคุณเป็นเกษตรกรปลูกผักไร้สารเคมี คุณก็ทำคลิปสอนการการปลูกผักอย่างต่อเนื่อง หรือถ้ามีทักษะการเขียน ก็อาจจะทำ E-book (อีบุ๊ก) สอนการปลูกผักเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้คนเข้าใจได้ง่ายที่สุด เมื่อสินค้าและบริการของคุณมีคุณภาพก็จะทำให้ผู้คนประทับใจจนอยากบอกต่อหรือโปรโมทให้กับคุณ ในทางตรงข้าม หากสินค้าไม่มีคุณภาพ ถึงขายได้ก็จะขายได้เพียงครั้งเดียวหรือรักษาลูกค้าได้ไม่นาน

การหารายได้ในการทำงานผ่านระบบออนไลน์สำหรับคนทำงานที่บ้านนั้นไม่มีทางลัดแต่อย่างใด เพียงแค่ทราบแนวความคิดที่จะนำทางอย่างถูกต้องตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้น แล้วลงมือฝึกฝนทักษะในทุกวัน คุณก็จะสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทาง รวมถึงยังมีเวลาให้ครอบครัวเพิ่มขึ้นด้วย

ทำงานที่บ้านหรือสำนักงานดีกว่ากัน

ข้อดีของการทำงานที่สำนักงาน

เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในเวลานี้ ทำให้ทั้งโลกติดต่อกันง่ายมากขึ้น ทำให้แม้จะห่างกันครึ่งซีกโลกก็ยังสามารถพบปะพูดคุยกันได้ เกิดการสั่งสินค้าจากอีกประเทศ เผยแพร่วัฒนธรรมการกินอยู่ของแต่ละประเทศได้ง่ายขึ้น บางครั้งไม่จำเป็นต้องไปถึงประเทศนั้นด้วยตัวเอง ก็สามารถดูข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต อ่านรีวิว หรือบทความเพื่อหาความรู้ได้เอง มีคลิปวิดีโอสอน หรือให้ความรู้มากมาย รวมถึงการทำงานด้วย เมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีเข้ามาทำให้สามารถทำงานได้แทบทุกที่และตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศเพื่อไปทำงานอีกต่อไป จึงเกิดประเด็นข้อสงสัยว่าระว่างการ ทำงานที่บ้าน กับ การทำงานที่สำนักงานนั้น แบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งเราได้นำข้อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย มาให้พิจารณากัน

ทำงานที่สำนักงาน

ข้อดีของการทำงานที่สำนักงาน

การประสานงานแต่ละแผนก หรือภายในแผนกเป็นไปได้ง่าย เพราะสามารถเห็นหน้า พูดคุยได้โดยตรง

ทราบเวลาปฏิบัติงานที่แน่นอน พนักงานต้องมีวินัย

พนักงานมีปฏิสัมพันธ์ มีสังคมในสำนักงาน สังคมกว้างขึ้น

มีบุคลากร พนักงาน เจ้านายคอยช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา

มีการพัฒนาศักยภาพในการทำงานแน่นอน เนื่องจากพบเจอผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราในสำนักงาน

เหมาะสำหรับพนักงานใหม่ ที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือประสบการณ์ในการทำงานน้อย เพื่อให้มีเพื่อนร่วมงานสอนงาน

ข้อเสียของการทำงานที่สำนักงาน

ต้องเดินทาง การเดินทางแต่ละวันทำให้เสียรายได้และเวลาไปมาก

เกิดปัญหาในด้านของบุคคลได้ง่ายเนื่องจาก นินทาว่าร้าย มีการเมืองในสำนักงาน

มีกฎระเบียบในสำนักงาน

การทำงานแบบเดิม ๆ ในทุกวัน ทำงานเป็นเวลา อาจทำให้เกิดอาการเบื่อหน่าย

บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงในการให้พนักงานทำงานที่บริษัท เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอุปกรณ์ทำงาน เป็นต้น

ทำงานที่บ้าน

ข้อดีของการทำงานที่บ้าน

มีอิสระ จัดสรรเวลาในการทำงานเอง

ตื่นมา ก็เริ่มทำงานได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน

ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากมีสมาธิ ไม่ค่อยมีสิ่งรบกวนมากเท่าออฟฟิศ

ทำงานได้หลายอย่างในหนึ่งวัน

ช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องจากพนักงานไม่ได้เข้าออฟฟิศ

เหมาะกับคนที่มีวินัยสูง มีความรับผิดชอบสูง และสามารถควบคุมตนเองได้ เนื่องจากต้องจัดการเวลาในการทำงานเอง และเหมาะกับประเภทงานอิสระ ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับแผนกอื่นมากทำงานที่บ้านหรือสำนักงานดีกว่ากัน

ข้อเสียการทำงานที่บ้าน

ไม่มีสังคมเพื่อนร่วมงาน

ไม่มีมีบุคลากร พนักงาน เจ้านายคอยช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา

ต้องมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เพียงพอกับการทำงาน

พนักงานต้องมีวินัยและความรับผิดชอบ เพื่อทำงานให้สำเร็จ

ไม่เหมาะสำหรับพนักงานใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งนั้น ๆ

จะเห็นได้ว่าการทำงานที่สำนักงานหรือการทำงานที่บ้าน ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและลักษณะประเภทของงาน ซึ่งแต่ละคนย่อมมีเหตุผล ความจำเป็น หรือความถนัดแตกต่างกันออกไป หลายคนไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ เพราะรู้ตัวเองว่าขาดวินัยและไม่มีแรงกระตุ้น จึงต้องการทำงานที่สำนักงานมากกว่า แต่บางคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ต้องการอิสระในการจัดการเวลาทำงานเองได้ ก็เลือกทำงานที่บ้านแทน หางานตามความถนัดและมีวินัยในการทำงานมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ สิ่งสุดท้ายที่ต้องไม่ลืมคือ ต้องมีรายได้ที่เพียงพอและมีความสุขในการทำงานด้วย

สิ่งที่เจ้าของบริษัทควรคิดถึง ในการให้พนักงานทำงานที่บ้าน

สิ่งที่เจ้าของบริษัทควรคิดถึง ในการให้พนักงานทำงานที่บ้าน

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ในสมัยนี้ได้มีการปรับตัวเรื่องการทำงานด้วยการเปลี่ยนจากการทำงานที่ออฟฟิศมาเป็นการทำงานที่บ้านกันแล้วทั้งนั้น ถ้าองค์กรของคุณกำลังคิดวางแผนจะเปลี่ยนสถานที่ทำงานมาเป็นที่บ้านกันอยู่ เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่เจ้าขององค์กรควรคำนึงถึง

เจ้าขององค์กร ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่าหรือไม่ : ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เปลี่ยนมาทำงานที่บ้านแล้วจะสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้เท่าเดิมได้ ฉะนั้นผู้บริหารควรคำนึงถึงประสิทธิภาพในการทำงานหลังจากให้องค์กรเปลี่ยนไปทำงานที่บ้านด้วย

การบริหารค่าใช้จ่ายที่อาจต้องปรับ : แน่นอนว่าการทำงานที่บ้านจะทำให้ค่าใช้จ่ายขององค์กรลดลงแน่นอน ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารแล้วล่ะที่จะต้องคิดว่าจะนำค่าใช้จ่ายที่ลดลงนี้ไปต่อยอดด้านไหนให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง

ทุกคนต้องปรับตัว : สำหรับการเปลี่ยนสถานที่ทำงานจากออฟฟิศมาเป็นบ้านหรือนอกสถานที่นั้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเพราะทุกคนจะต้องควบคุมและรับผิดชอบหน้าที่ให้บรรลุตามเป้าหมายได้ด้วยตัวเองนั่นเอง

ความชัดเจนของหน้าที่ยังเหมือนตอนที่ทำงานในออฟฟิศ : การทำงานจากที่บ้านอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เพราะแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองและมีบางหน้าที่ที่จำเป็นต้องยกให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ดูแล ฉะนั้นการวางหน้าที่ให้ พนักงานทำงานที่บ้าน อย่างชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย

เทคโนโลยีหรือ software ตัวไหนที่เหมาะกับการทำงานที่บ้านสำหรับองค์กรของคุณ : การทำงานที่บ้านจะทำให้ขั้นตอนการทำงานหลายอย่างถูกตัดออกไป และการไม่ได้พบปะกันในที่ทำงานนั้นควรมีเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานขององค์กรยังคงราบรื่นต่อไป โดยเครื่องมือเหล่านี้ยังช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นกว่าตอนทำที่ออฟฟิศได้อีกด้วย

การสนับสนุนให้พนักงานได้พัฒนาตัวเอง : แม้ว่าการทำงานที่บ้านจะทำให้คนในองค์กรไม่ได้มาเจอกัน แต่องค์กรก็ควรสนับสนุนให้พนักงานทุกคนได้ฝึกทักษะและพัฒนาตัวเองต่อไป

การมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน : ไม่ว่าองค์กรของคุณจะเปลี่ยนสถานที่ไปทำงานที่บ้านหรือไม่ว่าจะเป็นที่ไหน สิ่งที่ทุกคนควรคำนึงถึงก็คือ เรื่องเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้แต่ละคนยังสามารถทำงานได้ตามความคาดหวังที่องค์กรกำหนดไว้

การทำงานที่บ้านนั้น ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ที่กำลังมาแรงเฉพาะในบริษัท start-up เท่านั้น แต่ยังเป็นวิถีชีวิตของการทำงานที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงองค์กรของคนทั่วโลกเลยทีเดียว ถ้าคุณมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงานมาเป็นที่บ้านแล้วล่ะก็ ลองนำข้อคิดทั้ง 7 ข้อที่เรานำมาฝากในวันนี้ไปปรับใช้ต่อไป

เจ้าขององค์กร ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ทำไมบริษัทยุคใหม่ถึงหันมาจ้างให้พนักงานทำงานที่บ้าน

ทำงานที่บ้านช่วยแก้ปัญหางานในออฟฟิศ

สมัยนี้ การทำงาน ที่บ้านไม่ได้เป็นสไตล์การทำงานของคนที่เป็นฟรีแลนซ์อีกต่อไปแล้ว เพราะหลายบริษัทมีการปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานจากนั่งประจำออฟฟิศมาเป็นการทำงานที่บ้านมากขึ้น ว่าแต่การทำงานรูปแบบนี้จะมีข้อดีและช่วยแก้ปัญหาการทำงานในออฟฟิศได้อย่างไรบ้างเรามาดูกัน

ทำงานที่บ้านช่วยแก้ปัญหางานในออฟฟิศ

ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องเช่าสำนักงานรวมถึงค่าน้ำค่าไฟและค่าบริหารจัดการอื่นๆ

การมีออฟฟิศไม่ได้มีเพียงค่าเช่าสถานที่เท่านั้นแต่ยังมีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงสถานที่และค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าป้องกันอัคคีภัย ค่าประกันที่ต้องชำระล่วงหน้า แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะหมดไปแค่เปลี่ยนมาเป็นการให้พนักงานทำงานที่บ้าน ซึ่งบริษัทยังสามารถนำเงินที่จะเช่าออฟฟิศไปเป็นรางวัลให้กับพนักงานหรือสวัสดิการอื่นๆ ได้อีกด้วย

ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนเมืองที่เปลี่ยนไป

คนเมืองส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ตัวอย่าง คนกรุงเทพฯ ที่ต้องใช้เวลาบนท้องถนนมากพอๆ กับเวลาทำงานเกือบทั้งวัน ทำให้หลายคนเลือกตัดปัญหาที่ต้องใช้ชีวิตบนถนนเป็นระยะเวลานานๆนี้ออกไปแต่ยังสามารถทำงานได้ ซึ่งนั่นก็คือการทำงานที่บ้านนั่นเอง

การทำงานที่บ้านอาจทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ได้ดีกว่าการไปนั่งในออฟฟิศ

เราสามารถบอกได้ว่าการทำงานที่บ้านนั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีหลายบริษัทที่ทำการทดลองเปรียบเทียบพนักงานทำงานที่บ้านกับพนักงานทำงานที่ออฟฟิศ ปรากฎว่าพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

เป็นการลดอุปสรรคในการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป

เราจะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องการตอกบัตรหรือแกสนนิ้วเพื่อเข้าออกงานล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการทำงานมากเท่ากับผลลัพธ์และวิธีการดำเนินงาน แต่กลับเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายองค์กรต้องการให้พนักงานทำต่อไป

พนักงานป่วยน้อยลง

หลายครั้งการลาป่วยของพนักงานนั้นมาจากความเครียดสะสมจากที่ทำงาน เพราะต้องรับความกดดันหลายอย่างตั้งแต่เดินเข้าออฟฟิศไปและไม่มีสถานที่หรือวิธีการจัดการกับความเครียดเหล่านี้ออกไปได้จึงเป็นสาเหตุของการป่วยในที่สุด

ช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานให้น้อยลงได้

การลาออกของพนักงานเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทหลายแห่งต้องกุมขมับเพราะทำให้งานไม่ต่อเนื่องและยังสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรบางอย่างอีกด้วย ซึ่งการทำงานที่บ้านที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนทำงานมากขึ้นนั้นสามรถช่วยลดอัตราการลาออกนี้ได้

ถ้าบริษัทของคุณยังอยู่ในสไตล์การทำงานที่ให้พนักงานต้องตื่นนอนตอนเช้าเพื่อแสกนนิ้วเข้างานและออกงานช่วงดึกรวมถึงยังต้องทำโอทีด้วยล่ะก็อาจถึงเวลาที่ต้องคิดถึงสไตล์การทำงานจากที่บ้านแล้วล่ะ

ทำไมบริษัทยุคใหม่ถึงหันมาจ้างให้พนักงานทำงานที่บ้าน

อะไรคือข้อดีของการทำงานที่บ้าน มีดีมากกว่าที่คิด

อะไรคือข้อดีของการทำงานที่บ้าน มีดีมากกว่าที่คิด

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ชอบอิสระ จึงชอบสไตล์การทำงานจากที่บ้าน ซึ่งผู้ปกครองหลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย และยังไม่รู้ถึงข้อดีอีกหลายด้าน ซึ่งเราได้รวมข้อดีที่น่าสนใจจากการทำงานที่บ้านมาฝากกัน ดังนี้

ทำงานที่บ้าน ดีอย่างไร

1. ไม่มีค่าเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอาง

การทำงานที่บ้านไม่จำเป็นต้องแต่งตัวสวยงามหรือแต่งหน้าทำผม จึงไม่มีค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง เป็นวิธีที่ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายพันบาทต่อเดือน หากนำเงินส่วนนี้ไปเป็นเงินเก็บหรือต่อยอดด้านการลงทุนในหุ้น ก็จะมีส่วนผลกำไรหรือปันผลตอบแทนกลับมาได้อีกด้วย

2. ไม่ต้องเผชิญปัญหารถติด

ปัญหารถติดถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเจอทุกวันถ้าทำงานออฟฟิศ เพราะเป็นปัญหาอันดับต้น ๆ ของคนกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ ผู้คนต้องใช้เวลาในแต่ละวันประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อการเดินทางและยังต้องเผชิญกับภาวะความเครียดบนท้องถนน การทำงานที่บ้านเท่ากับตัดปัญหาความเครียดจากสิ่งแวดล้อมไปได้อย่างมาก

3. ช่วยประหยัดค่าเดินทางและค่าอาหาร

การเดินทางด้วยรถส่วนตัวต้องมีค่าทางด่วน ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง หรือถ้าใช้บริการรถสาธารณะ ก็ต้องมีค่าบริการรายวันหรือรายเดือน ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้วอาจเท่ากับ 1 ใน 3 ของเงินรายได้เฉลี่ยในแต่ละเดือน สำหรับค่าอาหารก็เป็นสิ่งที่ตามมาเช่นกันเมื่อทำงานในระบบออฟฟิศ เพราะทุกคนต้องรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนฝูง ทำให้มีรายจ่ายหลายพันบาทต่อเดือน หากทำงานที่บ้านก็เท่ากับคุณสามารตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้อย่างแน่นอน

4. สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน

หากคุณทำงานที่ออฟฟิศ คุณจะต้องทำงานในบทบาทหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น ถ้าจะขายของออนไลน์ การเขียนบทความขาย การเล่นหุ้น ฯลฯ ระหว่างทำงานด้วย ก็จะทำให้ถูกหัวหน้าตำหนิเอาได้ การทำงานที่บ้านจึงเป็นช่องทางที่ทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้พร้อมกันที่จะทำให้มีรายได้เข้ามาจากหลาย ๆ ทาง โดยที่คุณใช้เวลาเท่าเดิม

5. มีเวลาให้กับการออกกำลังกาย

หลายคนอ้างว่าการทำงานทุกวันก็มีทั้งความเครียดและต้องใช้เวลากับการเดินทาง ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับการออกกำลังกายเลย ดังนั้น ถ้าคุณเปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน คุณจะสามารถจัดสรรเวลาให้กับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ความเครียดน้อยลง คุณจะมีเวลาออกกำลังกายที่ชอบได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งคุณก็สามารถที่จะไปเข้าฟิตเนสได้ตลอดเวลา

จะเห็นได้ว่า การทำงานที่บ้านสามารถที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์หลากหลายด้าน ทั้งนี้ก็ควรเลือกงานที่เหมาะสมกับความชอบและทักษะของตัวเอง เพื่อให้มีรายได้ที่เลี้ยงตัวเองและมีความสุขในทุก ๆ วันได้เป็นอย่างดี

ทำงานที่บ้าน ดีอย่างไร

ถูกหลอก! เพราะต้องการหารายได้จากการทำงานที่บ้าน

ต้องการหารายได้จากการทำงานที่บ้าน

จากสภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้ที่เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงมาระยะเวลาหลายปี ผู้คนจำนวนมากก็ยังมีความหวังที่จะหารายได้เพิ่มเติมจากงานประจำ แต่เพราะเวลาทำงานประจำนั้นก็มีมากอยู่แล้ว เวลาที่เหลืออยู่คือเวลาที่บ้านและวันหยุด คำว่า ทำงานที่บ้าน จึงผุดขึ้นในความคิด ไม่ใช่สิบหรือร้อยคน แต่เป็นแสน ๆ คน ซึ่งความคิดดังกล่าวนั้นถือว่าน่าชื่นชมที่มีความขยันและต้องการแสวงหารายได้เพิ่มจากเวลาว่างที่เหลืออยู่ แต่ก็กลับกลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพหลอกลวงได้โดยง่าย

งานหลอกลวงที่ดึงความสนใจสำหรับ คนทำงานที่บ้าน

อาชีพเสริมนั้นมีหนทางให้เลือกมากมาย แต่หลายคนที่ไม่มีเงินทุนมากที่จะเช่าร้าน แผงค้าขาย หรือไม่มีเวลาที่จะไปทำอาชีพเสริมใดอีก เมื่อพบกับโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ก็จะสนใจทันที เมื่ออ่านถ้อยคำที่ชวนเชื่อ ในทำนองที่ว่าเป็นงานง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุน รับงานไปทำ ส่งงานแล้วก็รับเงิน งานทำนองนี้จะเป็นงานประเภททำได้ไม่ยากนัก เช่น คัดแยกหนังยางสีสันต่าง ๆ ออกจากกัน แล้วรวมเป็นห่อ ๆ หรือคัดแยกกระดุม ลูกปัดตามสีที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีงานเขียนนิทาน งานพับกระดาษเป็นรูปนกรูปดาว งานปักครอสติช และยังมีงานอีกหลายแบบสุดแท้แต่ที่จะคิดขึ้นมาหลอกลวงกัน

งานดังกล่าว แท้จริงแล้วคือสิ่งบังหน้าเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่จะสอดแทรกเข้ามาแบบที่ไม่ให้เหยื่อรู้ตัวคือการสร้างแรงจูงใจเรื่องรายได้ เมื่อคูณกับจำนวนที่ทำได้ก็จะเป็นเงินก้อนที่มองแล้วว่าคุ้มในการทำงาน จากนั้นจะมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่สำคัญก่อนทำงานคือ ค่าสมัคร และค่ามัดจำต่าง ๆ นี่คือสัญญาณแรกที่บอกได้ทันทีว่างานนั้นเชื่อถือได้หรือเป็นงานหลอกลวง ลองคิดดูว่าถ้ามีคน 100 คน ต่อวัน สมัครงานและชำระค่ามัดจำเพียง 100 บาทให้กับมิจฉาชีพ เขาก็ได้เงินตรงนี้แล้ว 10,000 บาท ต่อวัน

เหตุการณ์ต่อมาหลังจากโอนเงินค่ามัดจำไปแล้ว ก็จะได้รับของส่งมาให้ทำ มีข่าวว่าบางรายโอนเงินไปแล้วก็ขาดการติดต่อทันที เพราะเขาได้เงินไปแล้ว หรือบางรายก็ได้รับของมาให้ทำและมีการโอนค่าจ้างกลับมาให้ เมื่อเห็นว่ามีการจ่ายค่าจ้างจริง ก็จะเริ่มหลงเชื่อว่าไม่น่าจะหลอกลวง จากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกต่อไปอีกขั้นตอนคือการเพิ่มวงเงินมัดจำของเพื่อรับงานจำนวนที่มากขึ้นอีก

ขอยกตัวอย่าง งานแยกหนังยางรัดผมสีต่าง ๆ มัดจำชุดละ 300 บาท เมื่อทำเสร็จจะได้รับค่าจ้าง 600 บาท เท่ากับว่าได้กำไรไม่รวมค่าแรงคือ ชุดละ 300 บาท หากต้องการเงินกำไร 3,000 บาท ก็สั่งของ ทีละ 10 ชุด ก็คือต้องโอนเงินไปมัดจำ 3,000 บาท เพื่อหวังค่าจ้าง 6,000 บาท วิธีนี้คือการยกระดับเงินลงทุน หลังจากเหยื่อเชื่อใจและโอนเงินไปแล้ว มิจฉาชีพก็เพียงไม่ส่งของมาและปิดตัวขาดการติดต่อไป เหยื่อก็สูญเงินลงทุน 3,000 บาทไปโดยปริยาย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสร้างความเสียหายให้กับผู้คนจำนวนมาก หวังว่าบทความนี้จะช่วยเตือนสติให้กับผู้ที่กำลังคิดจะ ทำงานที่บ้าน ได้ฉุกคิดว่างานที่หมายตาไว้นั้น จะทำให้ได้เงินหรือเสียเงินกันแน่ จุดสังเกตที่สำคัญคือ “งานใดที่ให้โอนค่าสมัครและค่ามัดจำก่อน ก็พึงระวังงานนั้นให้มาก”

ถ้าคุณผู้อ่านที่อยากทำงานที่บ้านจริง ขอให้ทำงานด้วยตัวเอง เช่น ประดิษฐ์ของ DIY หรือของตกแต่ง กรอบภาพ ถ่ายภาพ วาดภาพ หรืองานฝีมือตามที่ถนัด แล้วนำงานไปประกาศลงขายในเว็บไซต์ ซึ่งจะมีโอกาสสร้างรายได้แน่นอนกว่า

งานหลอกลวงที่ดึงความสนใจสำหรับ คนทำงานที่บ้าน